ศาลอุทธรณ์แก้โทษจำคุก"แก๊งโชกุน"กว่า 2 พันปี

2021-03-12 13:30:58

ศาลอุทธรณ์แก้โทษจำคุก"แก๊งโชกุน"กว่า 2 พันปี

Advertisement

ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ เพิ่มโทษจำคุก "แก๊งโชกุน" ตุ๋นเหยื่อทัวร์ญี่ปุ่นกว่า 2 พันปี

วงจรปิดชี้"พริตตี้วาวา"อาการหนักก่อนดับสลด

"หนุ่ม กรรชัย" เปิดแชทแฉ "อาบี" ส่งภาพ “อั้ม” มาหลอกบอกเป็น "ตาล"

ไร้เงา"หญิงคนสนิทแอมมี่"เผาป้ายคุกเข้าพบ ตร.

เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.2176/2560 ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด, น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือซินแสโชกุน อายุ 34 ปี กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ, นางมณฑญาณ์ นิรันดร หรือจันทร์ฉาย นาคฤทธิ์ อายุ 60 ปี มารดาของซินแสโชกุน, นายก้องศรัณย์ แสงประภา อายุ 26 ปี ลูกพี่ลูกน้องของซินแสโชกุน, น.ส.ทัศย์ดาว สมัครกสิกรรณ์ อายุ 39 ปี เลขานุการและคนรักของซินแสโชกุน, นางประนอม พลานุสนธิ์ อายุ 44 ปี รองประธานบริษัท, นางณิชมน แสงประภา อายุ 68 ปี ป้าของซินแสโชกุน และเป็นมารดาของนายก้องศรัณย์, นางพารินธรญ์ หงส์หิรัญ ดัคกอร์ อายุ 39 ปี ผู้ดูแลการเงินและผู้ช่วยการโฆษณาของบริษัท, น.ส.สุดารัตน์ อเนกนวล อายุ 29 ปี ผู้ดูแลการขาย และนายโกวิท ช่วยสัตว์ อายุ 34 ปี คนรักของ น.ส.สุดารัตน์ เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 3, 4, 12 และฟ้องจำเลยที่ 2-10 ในความผิดฐานร่วมกันนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลนั้นเป็นเท็จน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3, 14 (1) และเป็นซ่องโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210




นอกจากนี้ บจก.เวลท์เอเวอร์ และ น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 1-2 ยังถูกฟ้องอีกในข้อหาร่วมกันจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ควบคุมฉลากโดยแสดงฉลากไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 4, 6 (10), 51 และยังฟ้อง น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานซื้อหรือรับไว้ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรฯ ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิด้วย โดยท้ายคำฟ้อง อัยการยังขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 51 ล้านบาทเศษคืนให้กับผู้เสียหาย 871 คนพร้อมดอกเบี้ยที่ผิดนัดชำระร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องคดีวันที่ 6 ก.ค.2560 หลังจากที่จำเลยชักชวนให้ผู้เสียหายเข้าเป็นสมาชิกของบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารเสริมระหว่างเดือน ม.ค.-เม.ย.2560 โดยอ้างว่าจะมีสิทธิได้เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศแถบเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง แต่มีผู้เสียหายหลายร้อยรายไม่ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ตามที่จำเลยโฆษณา เนื่องจากไม่มีสายการบินเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นตามวันเวลาที่จำเลยกล่าวอ้าง จึงติดค้างอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ


คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ก.ย.2561 ว่า การกระทำของ บจก.เวลท์เอเวอร์ จำเลยที่ 1, น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 2, น.ส.ทัศย์ดาว จำเลยที่ 5 และ นางพารินธรญ์ จำเลยที่ 8 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 5, 12 ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) และ พ.ร.บ.อาหาร มาตรา 6 เฉพาะจำเลยที่ 1-2 ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นความผิดไป ซึ่งการกระทำฐานฉ้อโกงและการนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น ให้ลงโทษบทหนักสุดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมฯ จำคุกจำเลยที่ 2, 5, 8 คนละ 871 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 4,355 ปี ให้ปรับบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 435,500,000 บาท และให้ปรับจำเลยที่ 1-2 รายละ 20,000 ตามความผิด พ.ร.บ.อาหาร จึงรวมโทษปรับบริษัทจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 435,520,000 บาท ส่วนโทษจำคุกจำเลยที่ 2, 5, 8 เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 (2) แล้ว ให้จำคุกจำเลยได้สูงสุดคนละ 20 ปี นอกจานี้ศาลยังพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2, 5, 8 ร่วมกันชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 871 ราย มูลค่ากว่า 51 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง 6 ก.ค. 2560 เป็นต้นไป ริบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของกลางจากรถยนต์ของจำเลยที่ 2 และจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับกุมจำเลยที่ 2, 5, 8 ร้อยละ 25 ของค่าปรับจำเลยที่ 1 เมื่อคดีถึงที่สุด ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3, 4, 6, 7, 9, 10 ต่อมา น.ส.พสิษฐ์ หรือซินแสโชกุน กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ จำเลยที่ 2, นางพารินธรญ์ ผู้ดูแลการเงินและผู้ช่วยการโฆษณาของบริษัท จำเลยที่ 8 ยื่นอุทธรณ์สู้คดี วันนี้ศาลจึงเบิกตัวจำเลยที่ 2, 5, 8 มาจากทัณฑสถานหญิงกลาง ส่วนจำเลยที่ 3, 4, 6, 9, 10 เดินทางมาฟังคำพิพากษา


ศาลอุทธรณ์ ตรวจสำนวนและได้ประชุมปรึกษาหารือแล้วพบว่าการอุทธรณ์ของซินแสโชกุน จำเลยที่ 2 ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ส่วนที่อัยการโจทก์อุทธรณ์ นางประนอม จำเลยที่ 6 และ น.ส.สุดารัตน์ จำเลยที่ 9 กระทำผิดตาม พ.ร.บ.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของจำเลยที่ 1-2 มีการโฆษณากล่าวอ้างว่าสามารถพาไปเที่ยวต่างประเทศได้ในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริง การทำธุรกิจนี้มีการจัดประชุมและสัมมนาหลายครั้ง จำเลยที่ 6, 9 ซึ่งเป็นรองประธานบริษัทและพนักงานบริษัทได้เข้าร่วมประชุมหลายครั้ง น่าจะทราบว่าการดำเนินธุรกิจของจำเลยที่ 1-2 ไม่สามารถทำได้ แต่ยังร่วมกันช่วยเหลือให้ดำเนินการต่อไปได้ และหากจำเลยที่ 5, 6, 8, 9 เชื่อมั่นว่าตนเองบริสุทธิ์จริง ควรจะเข้ามอบตัวสู้คดีกับพนักงานสอบสวนแต่กลับเดินทางไปที่ จ.ระนอง พร้อมจำเลยที่ 2 กรณีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 6, 9 นั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย จึงพิพากษาแก้เป็นการกระทำของจำเลยที่ 5, 6, 8, 9 เป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1-2 ให้กระทำความผิด ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษบทหนักสุดตาม พ.ร.บ.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กระทงละ 3 ปี 4 เดือน โดยกระทำผิดรวม 871 กระทง รวมจำคุกจำเลยที่ 5, 6, 8, 9 คนละ 2,903 ปี 4 เดือน แต่เมื่อรวมโทษจำคุกตามกฎหมายแล้วให้จำคุกสูงสุดคนละ 20 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น