ศบค. ยกเลิกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเหลือ 0 จังหวัด ตั้งแต่ 1 ธ.ค. เป็นต้นไป ยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถาน ขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ต่อไปเป็นระยะเวลา 2 เดือน
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 19/2564 โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการประชุม ว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเปิดประเทศ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2564 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูประเทศและเศรษฐกิจ กระตุ้นพัฒนาด้านการท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการช่วยกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากให้สามารถประคองตัวต่อไปได้ ทั้งนี้ ขอให้ช่วยกันผลักดันและหามาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของคนไทยให้มากยิ่งขึ้น นายกรัฐมนตรียังขอให้ทุกหน่วยงานมีการถอดบทเรียนจากการดำเนินการและการแก้ไขปัญหารวมถึงการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 ของ เพื่อสร้าง Big Data เป็นฐานข้อมูลด้านสุขภาพของประเทศด้วย พร้อมสั่งการให้หาวิธีสร้างมูลค่าให้บัตรฉีดวัคซีน เพื่อให้เห็นว่าถ้าใครฉีดวัคซีน จะสามารถเดินทางได้ทั่วไทย แต่ถ้าไม่ฉีดต้องอยู่บ้าน โดยรณรงค์ให้ประชาชนมารับวัคซีนโควิด-19 รวมทั้งให้มีการสื่อสารเรื่องจำนวนเตียงรักษาที่มีเพียงพอ ขณะนี้มีการใช้เตียงเพียง 1 ใน 3 และผู้ติดเชื้อมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขหาสาเหตุของการเสียชีวิต เน้นให้ยารักษาอย่างทั่วถึงเพื่อลดจำนวนผู้เสียชีวิต รวมทั้งสื่อสารให้สถานประกอบการเร่งทำ COVID Free Setting ในการเตรียมพร้อมเปิดสถานประกอบการ โดยเฉพาะกิจการสถานบันเทิง ที่ผู้ประกอบการต้องฉีดวัคซีน และมีการตรวจ ATK อย่างจริงจัง เพื่อคู่ขนานไปกับการประเมินสถานการณ์ประกอบการพิจารณาเปิดให้บริการ สำหรับมติที่ประชุม ศบค. มีดังนี้
เห็นชอบการปรับมาตรการควบคุมโรค สำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ตั้งแต่ 16 ธ.ค. 2564
-ปรับจำนวนวันกักตัว หรือพำนักในพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว เป็น 5, 10, 14 วัน ขึ้นกับกรณี
-ปรับการตรวจหาเชื้อหลังการเข้าประเทศ สำหรับ Test and Go เป็น ATK
-ไม่ต้องตรวจหาเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ก่อนเข้าราชอาณาจักร
-ปรับหลักเกณฑ์สำหรับการได้รับวัคซีนในเด็ก และผู้ที่มีการติดเชื้อมาก่อน
นอกจากนี้ยังมีการปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร และมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ดังนี้
- การปรับระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2564 เป็นต้นไป
- พื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด 0 จังหวัด , พื้นที่ควบคุมสูงสุด 23 จังหวัด, พื้นที่ควบคุม 23 จังหวัด , พื้นที่เฝ้าระวังสูง 24 จังหวัด, พื้นที่เฝ้าระวัง 0 จังหวัด, พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว 7 จังหวัด
ทั้งนี้ มาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 สำหรับทุกระดับพื้นที่สถานการณ์ คงใช้มาตรการตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 37) สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด ยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถาน ขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ต่อไปเป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2564 – 31 ม.ค. 2565