ไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม? “กระติ๊บ ชวัลกร” แอบร่ำไห้คนเดียว โดนน้ำมันลวกหนังเปิดเปิง
ปังไม่ไหว สำหรับ นางร้ายคนสวย "กระติ๊บ ชวัลกร" จากละคร "กระเช้าสีดา" ที่ล่าสุดโดนน้ำมันลวกครั้งแล้ว ครั้งเล่า หวิดเสียโฉมต้องแอบมานั่งร้องไห้คนเดียว แถมคุณหมอยังบอกว่ายังไงก็กลับไปสวยเหมือนเดิมไม่ได้ ตอนนี้ชีวิตลำบาก แต่ยังดีมีหนุ่มข้างกายให้กำลังใจกันมายาวนานถึง 10 ปีแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวพร้อมแต่งหรือยัง โดยงานนี้สาวกระติ๊บ มาเปิดใจผ่าน ทางรายการ คุยแซ่บshow
ละครกระเช้าสีดากำลังดังมากๆ เลย เรียกว่าเป็นละครหลังข่าวเรตติ้งอันดับ1 ?
กระติ๊บ : ตอนนี้มันเหมือนขมวดปม แล้วทุกคนโยนไม้ตายออกมา ซึ่งเหลืออีก 2 ตอนที่บอกเลยว่าพลาดไม่ได้
ตกลงเขาจบตามบทประพันธ์ไหม ?
กระติ๊บ : จริงๆ แล้วละครเรื่องนี้มีช่วงที่หยุดฉายเพราะโควิด แต่ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เรตติ้งมันดีมาก เราเป็นคนเล่นเอง ตอนนั้นบทยังเขียนไม่จบ เรายังอยากรู้เลยว่าจะจบประมาณไหน แอบบอกว่ามีรายละเอียดเพิ่มเติมที่แม้กระทั่งเราเป็นนักแสดงเองเรายังช็อกเลย เห้ย...สนุก คือก่อนหน้านี้รายละเอียดจบมันจะเป็นอีกแบบนึง แต่ด้วยโควิดเราเลยเหมือนเสิร์ฟเต็มที่เลย คืออินบ็อกซ์ไอจีแตก คนถามทำไมไม่รีบขึ้นมาจากหลุม เรารู้สึกว่าคนเขาอินกับละครเรื่องนี้
แสดงว่าตั้งแต่เล่นละครมาเรื่องนี้ถือว่าเป็นมาสเตอร์พีชในชีวิต ?
กระติ๊บ : เป็นอีกเรื่องนึงที่กระแสตอบรับดี แล้วเราจะสังเกตได้ว่าถ้าเรื่องไหนที่มันดีมากๆ คนจะลืมชื่อเรา คนจะเรียกชื่อตัวละคร ตอนแรกเราไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเบอร์นี้ ตอนนี้กลายเป็นว่าไปไหนก็มีแต่คนเรียกชื่อเราในละคร
ไปแข่งรายการทำอาหาร มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นที่ทำให้เรารู้สึกเฟลมากๆ ?
กระติ๊บ : วันนั้นทอดสิ่งนึงไว้อยู่ เราก็เอาน้ำมันไว้ไว้ในอ่างล้างจาน ครึ่งชั่วโมงผ่านไปมันคงไม่ร้อนแล้วแหละ เลยเปิดน้ำล้างมีด พอน้ำกับน้ำมันโดนกัน มันฟู่ขึ้นมา เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ร้ายแรงหรอก เราหม่ได้โดนน้ำมันโดยตรง เราก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บ ปวดอะไร มันอยู่ในเกม
ติ๊บโดนอุบัติเหตุกี่ครั้ง ?
กระติ๊บ : อันนี้คือครั้งแรก แล้วเราก็กลับบ้านไปซ้อมทำกับข้าวต่อก็โดนอีกอันที่นิ้ว
ตอนที่โดนน้ำร้อนลวก ความตกใจมันยังไง ?
กระติ๊บ : ที่แขนไม่ค่อยรู้สึกอะไร เพราะรู้สึกว่ามันไม่ได้โดนน้ำมันตรงๆ เดี๋ยวจบปุ๊บ ทายาเดี๋ยวก็หาย เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นยังไงต่อ เราก็ค่อยๆ เดินทางไปกับมัน ทำไมวันนี้มีตุ่มน้ำออกมา ทำไมวันนี้ผิวมันลอก ทำไมวันนี้ผิวมันดำ แต่ตรงนิ้วคือซ้อมเองที่บ้าน แล้วเราตกใจรีบเปิดน้ำล้าง คือหมอบอกว่าวิธีทำให้แผลน้ำร้อนดีที่สุดคือเอาไปแช่น้ำเย็น หรือเปิดน้ำล้างดีที่สุด หนูก็เลยจำได้ พอมาโดนอีกอัน เปิดน้ำแรงไปหน่อย หนังปลิวไปกับน้ำเลย
พอเห็นหนังหลุดไปเป็นยังไงบ้าง ?
กระติ๊บ : ตอนแรกคิดนะเราเป็นผู้หญิงขี้โวยวายเวลาเกิดอะไรขึ้น แต่พอเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริงหน้าเรานิ่งมากเลย วินาทีนึงมันยาวไปหลายวิ มันค่อยๆ ปลิวไปต่อหน้าเรา
คุณขนาดดูแผลแล้วร้องไห้เลย ?
กระติ๊บ : มัน 2 วันหลังจากนั้น เหมือนคนสมาธิช้า อารมณ์แบบช่างมัน ตอนแรกไม่เห็น แต่พอแกะออกมามันตกใจ
ภาพที่เห็นเป็นยังไง ?
กระติ๊บ : มันเหวอะๆ มันน่าเกลียด แล้วตอนนั้นเพิ่งวางสายจากคุณหมอด้วย ติ๊บถามหมอตลอดว่าจะทำยังไงได้บ้าง นวัตกรรมตอนนี้อะไรที่ดีที่สุดที่ช่วยเราได้บ้าง หมอพูดมาคำนึงแบบตรงๆ เลยว่า ยังไงมันก็ไม่เหมือนเดิม เพราะเมลานินมันตาย มันจะเป็นเหมือนคนผิวด่าง แต่ที่หนักๆ คือที่นิ้ว ตอนแรกคืองอไม่ได้ คุณหมอบอกถ้าไม่พยายามยืดงออาจจะต้องไปตัดพังผืดออก
แผลรุนแรงอันดับ2 คือตรงไหน ?
กระติ๊บ : ทั้งสองที่เลย คือมันมีทั้งหมด 3 ระดับ ระดับแรกอาจจะโดนน้ำมันกระเด็น หายเองภายใน 2 อาทิตย์ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น ระดับที่2 เหมือนที่ติ๊บเป็น เป็นแผลพุพอง บวม รุนแรงหน่อย ทำให้มีความแสบร้อน แล้วแผลนี้ส่วนใหญ่จะทิ้งร่องรอยไว้ อันที่3 คือไม่มีความรู้สึก เพราะเส้นประสาทมันโดนตัดไป
อันนี้ถือว่าดูแลแผลดีมาก ดูแลยังไง ?
กระติ๊บ : ตอนนี้รู้สึกว่ายายี่ห้อไหนดีพุ่งไปเลย หรือหมอให้ทำอะไรก็คือทำตาม ใช้ชีวิตลำบาก อาบน้ำมือเดียว ไม่รู้ว่าอาบน้ำสะอาดหรือเปล่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ เพราะเป็นเด็กรักสวย รักงาม แล้วพอเป็นแบบนี้เห็นว่าจิตตกหนัก นั่งร้องไห้ ?
กระติ๊บ : ก็ร้องไห้วันนั้นแหละ เราต้องทำใจว่ามันคงไม่เหมือนเดิม แต่สิ่งนึงที่เรารู้สึกล่าสุดแผลมันยังเป็นอย่างนี้ หนูไปเล่นละคร หนูก็ถอดออกไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกก็คือทุกคนต้องมาหลบข้างนี้ให้เรา ปกติเล่นละครมันควรจะครบทุกอย่าง แต่กลายเป็นว่าเราขาดข้างนึงไปช่วงนี้ เราก็รู้สึกเหมือนเฟลเองว่าเรามาทำงานเหมือนไม่เต็มร้อย
ให้ความรู้หน่อย สำหรับคนที่โดนน้ำมันลวก น้ำร้อนลวก เรามีวิธีการดูแลเบื้องต้นยังไง ?
กระติ๊บ : คือก่อนหน้านี้พอติ๊บเกิดเรื่องปุ๊บ เหมือนอารมณ์ตกใจแล้วก็นอยด์ด้วย ก็เลยโพสต์เฟซบุ๊กของตัวเองไป คอมเมนต์มามีให้เอาไปฉีดยา เอาน้ำมันเครื่องทา เอามะนาวบีบ และที่เยอะๆ คือเอายาสีฟันมาทา ติ๊บจะบอกว่าติ๊บไปคุยกับคุณหมอมา ทางที่ดีที่สุดคือถ้ามีบาดแผลเกี่ยวกับน้ำร้อนเราต้องแช่น็อกน้ำเย็น หรือน้ำแข็ง และรีบไปหาคุณหมอดีที่สุด เพราะว่าถ้าเกิดเอายาสีฟันทามันเป็นฤทธิ์กัดกร่อน หินปูนมันยังกัดได้เลย ฉะนั้นมันทำให้แผลของเราติดเชื้อก็ได้ แย่ไปกว่าเดิม หรือมีว่านหางจระเข้ก็ดี บัวหิมะก็เยอะ แต่ทางที่ดีที่สุดถ้าเกิดเราประเมินอาการของตัวเองได้เร็ว และถ้ามันฉุกเฉินไปหาคุณหมอดีที่สุด
พอมันเกิดบาดแผลแบบนี้กลัวไหม เพราะการแข่งขันยังไม่จบ พอลงครัวระแวงไหมน้ำมันอยู่ข้างหน้าเรา ?
กระติ๊บ : เหมือนติ๊บเป็นเด็กในครัวตั้งแต่เด็ก แม่สอนว่าทำอาหารถ้ากลัวไฟคือจบแล้ว คนจะทำอาหารต้องห้ามกลัวไฟ ก็ไม่เข็ด กลัวเราทำออกมาไม่เต็มที่มากกว่า
ล่าสุดที่สนใจเรื่องการทำอาหาร เพราะมีแพลนจะทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารหรือเปล่า ?
กระติ๊บ : ไม่มีๆ แต่เราได้แรงบันดาลใจจากคุณแม่ เพราะเขาเปิดร้านอาหารตั้งแต่ติ๊บ 3 ขวบ แต่ก่อนไม่ชอบอาชีพนี้เลย มันเหมือนเราคิดไปเองว่าแม่ไม่มีเวลาให้เรา เพราะว่าอาหารเอาไปหมด เราก็จะโตหาดใหญ่ แล้วแม่ก็อยู่ต่างประเทศ แล้ววันแม่ทุกปี แม่ก็ไม่เคยว่างมา เราก็จะโดนเพื่อนล้อไม่มีแม่ เราก็เลยรู้สึกว่าแม่ไปทำอาหาร อาหารเอาแม่ไปหมดเลย ซึ่งเราเกลียดวันวันนี้มากเลย เรารู้สึกว่าเมื่อไหร่จะเลิกสักทีพิธีนี้ที่เอาแม่มาไหว้ เรารำคาญ เราไม่ชอบ
เราเคยบอกแม่ไหมว่ามาหาหน่อย ?
กระติ๊บ : เคยบอก ตอนเด็กๆ ไม่รู้เรื่องทำไมแม่ไม่มา แม่บอกว่าจะหยุดได้ยังไง แม้กระทั่งวันหยุดแม่ก็ต้องทำเพื่อลูกค้า เหมือนเสิร์ฟความสุขให้ลูกค้า ฉะนั้นให้เข้าใจอาชีพตรงนี้ด้วย
นานแค่ไหนกว่าเราจะเข้าใจคุณแม่ ?
กระติ๊บ : จนโต มีช่วงนึงติ๊บจะบอกว่าทำไมติ๊บถึงตัดสินใจแข่งทำอาหาร เพราะมีช่วงนึงติ๊บเกเรมาก ประมาณช่วงหัวเรี่ยวหัวต่อ 14-15 ปี ไม่ค่อยอยากเรียนหนังสือ ติดเกม การเรียนแย่ จนพ่อบอกแม่ว่าน้องไม่ตั้งใจเรียน เป็นเพราะว่าแม่ไม่เคยดูแลน้อง แล้วเหมือนแม่คงเป็นห่วงมาก เขาเลยยอมทิ้งทุกอย่างที่เขาสร้างมา ขายร้านอาหารทิ้ง เพื่อดูแลติ๊บ เหมือนหนูขโมยชีวิตเขามา ตอนนั้นคือไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่เขารู้สึกเจ็บปวดไหม แต่เรารู้สึกดีใจได้แม่ในวันที่เราอายุ 15-16 ปี แม่ก็ไปรับ-ไปส่ง เราดีใจมาก เรากลายเป็นคนตั้งใจเรียน สอบติดมหาวิทยาลัยดีๆ แต่พอมาเป็นดาราวันนี้ วันที่ทบทวนตัวเองอีกครั้งคือวันที่รับตกลงแข่งรายการนี้ แม่ยิ้มดีใจมาก จนเรารู้สึกว่าหรือเราขโมยชีวิตเขาไปก่อนหน้านี้
ทำไมถึงคิดว่าจุดนี้ทำให้แม่ดีใจมากๆ ?
กระติ๊บ : ติ๊บถามแม่ทำไมแม่รู้สึกดีใจจัง ดีใจกว่าติ๊บไปประกวดอันนั้น อันนี้ แม่บอกว่ามันภูมิใจ เหมือนวันนึงเรากลับมาชอบสิ่งที่เขาชอบเหมือนกัน เขารู้สึกว่าวันนี้เราเข้าใจเขาจริงๆ เราเลยรู้สึกว่าเราขโมยชีวิตเขาไปจริงๆ
คำว่าขโมยชีวิตเขามา หมายถึงว่าเขาทิ้งทุกอย่างเพื่อเรา ?
กระติ๊บ : ใช่ เพื่อลูกเขายอมทิ้งสิ่งที่เขารักได้ จนตอนนี้ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะเปิดร้านอาหารต่อดีไหม หรือจะไปทางไหนดี แต่เรารู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขได้ ลองดูสักตั้งสิว่ามันจะพาเราไปถึงไหน ตอนนี้คิดแค่นี้
มันเหมือนเวลาเกิดบาดแผลหรืออะไร เราก็ยังอดทน เพื่ออยากเอาชัยชนะมาให้คุณแม่ ?
กระติ๊บ : ติ๊บไม่ได้รู้สึกว่าต้องได้ที่1 เรารู้สึกว่าตอนนี้เขรภูมิใจมากๆ แล้ว เราแค่รู้สึกว่าเราอยากทำหน้าที่ตรงนี้ให้มันดีที่สุด เพื่อที่เขามองกลับมาเราจะได้เห็นว่าเราสู้สุดๆ เขารู้ตลอดว่าเราทำเพื่อเขา เราทำเพื่อมูลนิธิเราด้วย ทำเพื่อแม่เราด้วย เราอยากให้เขาดูแล้วเขามีความสุข
ก่อนหน้านี้คุณไม่ชอบทำอาหารเลย แต่ทักษะการทำอาหารได้มาจากคุณแม่ อย่างเช่น ขอดเกล็ดปลา ?
กระติ๊บ : ขอดเกล็ดปลาตั้งแต่ 8-9 ขวบ ก็ต้องทำงานในครัวแล้ว คือบ้านติ๊บไม่เหมือนบ้านอื่น อย่างคนอื่นบอกว่าชอบทำอาหาร เขาก็จะรักในการทำอาหาร แต่ติ๊บตอบไม่ได้ มันเหมือนเกิดมามันต้องทำแล้ว มันไม่มีเวลามานั่งถามว่าเราชอบทำอาหารไหม เพราะมันคืออาชีพของบ้านเรา
จริงๆ เราไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ตัวติ๊บเองก็มีพี่เลี้ยง แต่ที่มาทำเพราะอยากอยู่ใกล้คุณแม่ ?
กระติ๊บ : ก็ด้วย แล้วเราก็รู้สึกว่าการที่เราทำบางอย่าง เราเป็นลูกสาว เราทำได้ดีกว่าลูกจ้าง เพราะว่าเราทำด้วยใจให้แม่ เหมือนแม่ปอกหอม เราซอยหอม เราก็ได้นั่งใกล้กัน
มันเป็นปมในใจของติ๊บจนถึงทุกวันนี้ ?
กระติ๊บ : เชื่อไหม ทุกอย่างที่ติ๊บทำโดยที่ติ๊บไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์กับติ๊บไหม มันกลายเป็นว่ามันเป็นสกิลที่มันติดตัว จนบางทีติ๊บลืมไปแล้วว่าเราทำอันนี้เก่งมาก มันเหมือนมันได้มาโดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เราดูแม่อยู่ในครัวเราแทบไม่ต้องมาเรียนใหม่ มันเห็นจนจำ เราทำจนจำ เราไม่เคยใช้เรื่องนี้มาในชีวิตเลย เราไม่ได้สนใจทำอาหารเลย เพราะเราก็ไปเรียนวาดรูป ไปเป็นนักแสดง เราก็ไม่ได้ใช้สกิลตรงนี้ เราไม่ได้คิดว่าจะมายุ่งอะไรกับตรงนี้เลย
วันนี้ได้มาทำในสิ่งที่แม่รักมากๆ ในใจเรารู้สึกปลดล็อกไหม ?
กระติ๊บ : ปลดล็อกนะ มันเคลียร์ว่าทำไมเราต้องคิดอย่างนั้น จนทำให้เราไปขอโทษคุณแม่ เราไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่าว่าเราคิดแบบนี้ แต่เราบอกแม่ว่าตอนนี้ติ๊บคิดได้แล้ว ติ๊บขอโทษที่ตอนเด็กติ๊บเคยเป็นแบบนี้ แม่ตอบมาคำนึง ไม่เป็นไรลูก
อยากบอกอะไรแม่ ?
กระติ๊บ : อยากจะพูดต่อหน้าทุกคนเลย เหมือนเพื่อนแม่ทุกคนก็คงเห็นแล้วว่าแม่ต้องทิ้งชีวิตมาเพื่อติ๊บ อยากจะขอโทษแม่ แล้วขอบคุณแม่เหมือนกันว่าที่แม่ใส่ใจ ดูแลเหมือนติ๊บมีทุกวันนี้ได้เพราะว่าแม่มาถูกจังหวะพอดี ชีวิตติ๊บถึงได้พลิกขึ้นมาเป็นผู้เป็นคนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ถึงแม้ติ๊บเพิ่งเริ่มต้น ติ๊บยังไม่รู้หรอกว่าติ๊บทำอะไรต่อไป ติ๊บจะเปิดร้านอาหารคืนให้แม่ไหม หรือว่าติ๊บจะทำอะไรต่อ แต่ติ๊บเชื่อว่าถ้าสิ่งนี้มันมีความสุข ติ๊บก็ยังจะวนเวียนทำสิ่งนี้ให้แม่ดีใจอยู่เสมอ ขอบคุณแม่มากจริงๆ
ชอบการสักลาย ?
กระติ๊บ : จริง
เห็นว่าความฝันอยากสักลายบนเนื้อคนให้ได้รับรางวัลระดับโลก ?
กระติ๊บ : ใช่ๆ เรียกว่าฝันนะ เหมือนช่วงโควิดมันได้นั่งทบทวนตัวเองว่ามันมีอะไรบ้างที่เรายังไม่เคยทำ แล้วเรื่องนี้เคยคิดมา 10 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่สมัยเป็นดาราใหม่ๆ เรารู้สึกว่าอาชีพช่างสักมันเท่ แต่เมื่อก่อนเครื่องมันใหญ่ แล้วเรามือผู้หญิง เราเคยลองสักนิดๆ หน่อยๆ แล้ว มันหนักเราทำไม่ได้ จนตอนนี้วิวัฒนาการมันมาเป็นปากกาอันเล็กๆ มันเบาและราคาก็ไม่แพง เราก็พูดเปรยๆ ช่วงโควิดบอกกับแฟนว่าอยากสัก นางก็เปิด GPS ว่าร้านสักอยู่ไหน ขับรถไปซื้อของเดี๋ยวนั้น
ไม่ห้ามเราด้วย ซึ่งการสักลายสำหรับผู้หญิงวัฒนธรรมไทยมันจะมีเส้นบางๆ ?
กระติ๊บ : นางเป็นคนแบบคิดอะไรให้ทำเลยดีกว่า ตอนนั้นเราก็พูดเล่นๆ พอซื้อของเสร็จเราก็แกะทำเดี๋ยวนั้นเลย ทั้งที่ไม่มีพื้นฐาน ไม่เคยเรียน เราก็ทำกับหนังเทียมก่อน พอทำได้ 3 วัน ติ๊บลงไอจี เหมือนลูกยุมันมา อยากได้คนแล้วตอนนี้ ก็เห็นข้อเท้าแฟนยังว่าง เขาก็ยอม
คนนี้คือคนที่คบมา 10 กว่าปีแล้ว ?
กระติ๊บ : รู้จักกันมา 12 ปี คบมาประมาณ 10 ปี
ข่าวดีจะมีไหม ?
กระติ๊บ : เอาจริงๆ ก็มีพูดคุยกัน คบกันมาเบอร์นี้แล้ว ถามว่าใครเป็นคนคุยเรื่องนี้ก่อน คือบางทีก็เรา บางทีก็เขา บางทีเจอโมเมนต์คนนู้น คนนี่ ก็จะแบบอยากให้เป็นยังไง หรืออะไรอย่างนี้
เห็นว่าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายถามแล้ว ?
กระติ๊บ : ใช่ๆ ก็มีแบบเมื่อไหร่จะมีน้อง รออะไรอยู่
แล้วรออะไรอยู่ ?
กระติ๊บ : ตอนแรกคิดว่าถ้าโควิดไม่มาจะแล้ว แล้วโควิดมาพอดีเราก็เลยเหมือนพับโครงการไปอีกรอบนึง คือถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนก็คนนี้แหละ ตอนนี้ที่รอเหมือนสำหรับติ๊บเอง ติ๊บไม่ได้มองว่าวันแต่งงานจะเป็นวันที่มีความสุขที่สุดหรือเป็นวันที่รอคอยอีกแล้ว เอาง่ายๆ ทุกวันนี้รักกัน เหมือนคนจะแต่งงานแล้วด้วยซ้ำ มันไม่ได้คิดเรื่องนั้นไปแล้ว
10 ปีที่คบกันมา ไม่มีวันครบรอบด้วย ?
กระติ๊บ : วันไหนยังไม่รู้เลย วันที่ขอเป็นแฟน วันนั้นอยู่ในผับ
แล้วเจอกันได้ยังไง ?
กระติ๊บ : ตอนแรกติ๊บอะกินเก๊กฮวยเยอะเกินไป แล้วมองไปเห็นผู้ชายคนนึงใช้กระเป๋าตังค์เหมือนเรา ถือมือถือเหมือนเรา สมัยนั้นคนใช้บีบี แต่ว่าเขาถือไอโฟน เราก็แบบ เห้ย...เขาขโมยของเรา กระเป๋าตังค์ยี่ห้อเดียวกัน สีเดียวกัน เคสโทรศัพท์สีเดียวกัน ยืนอยู่หน้ากระเป๋าเรา เราก็ต้องคิดว่าเขาขโมยของเรา เราก็เลยไปคว้าโทรศัพท์มา เปิดภาพหน้าจอเป็นภาพหมา ซึ่งหน้าจอติ๊บก็เลี้ยงหมา
นี่มันพรหมลิขิตไหมเนี่ย ?
กระติ๊บ : หนูก็คิดอย่างนั้น หนูก็เลยแรดเลย เธอไม่คิดจะขอเบอร์เราเหรอ
เห็นว่าคบกันไม่มีทะเลาะ คบกันมาราบเรียบแบบนี้มาเรื่อยๆ ?
กระติ๊บ : สิ่งที่ช็อกคือเขาเกิด 10 เมษายน หนูเกิด 11 เมษายน แต่คนละปี นิสัยก็เลยแบบชอบเรื่องเดียวกัน เราเป็นคนใจร้อน เขาเป็นคนใจเย็น มันเลยอยู่ด้วยกันได้
เป็นห่วงเรื่องการมีลูกไหม เพราะคุณฮอร์โมนเริ่มเปลี่ยน ?
กระติ๊บ : ปีที่แล้วเคยมีข่าวว่าติ๊บผมร่วง เหมือนไปหาคุณหมอเราผิดปกติอะไรหรือเปล่า ก็ไม่มี ไม่เจอปัญหา คือจริงๆ ปัญหาของติ๊บแก้ง่ายมากแค่เปลี่ยนยาคุมกำเนิด คือแต่ละยี่ห้อฮอร์โมนไม่เท่ากัน บางทีเราอาจจะต้องหาตัวที่มันแมตช์กับเรา คือติ๊บกินยาคุมกำเนิด เพราะรู้สึกว่าประจำเดือนมาไม่ปกติ บางทีมาไม่ตรงวัน พอเรากินมันไม่ได้มีประโยชน์แค่คุมกำเนิดอย่างเดียว แต่มันช่วยให้ฮอร์โมนเรามาสม่ำเสมอ แล้วอาการปวดท้องประจำเดือนลดลง
อยากได้ยินกระติ๊บบอกรักแฟน ?
กระติ๊บ : ก็ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณที่มีคนนี้เข้ามาในชีวิตจริงๆ ถ้าไม่ได้คบเขา ติ๊บอาจจะไม่ได้เป็นติ๊บในเวอร์ชั่นนี้ก็ได้ หลายๆ คนจะมองว่าทำไมติ๊บไม่ค่อยไปคบเพื่อนเลย บอกตรงนี้เลย ติ๊บเป็นคนติดแฟน ต้องขอโทษด้วย ขอบคุณมากที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ที่ดีสำหรับเรา