"เท่าพิภพ"ซัด "อัศวิน" สั่งเทเหล้าทิ้งหลัง 3 ทุ่ม สะท้อนไม่เข้าใจธรรมชาติธุรกิจกลางคืน
จากกรณีที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้สัมภาษณ์ ยืนยันว่า การดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารจะต้องเป็นร้านที่ได้มาตรฐาน SHA และขายได้ถึงเวลา 21.00 น.เท่านั้น จะไม่มีการขยายเวลา หากดื่มไม่หมดก็เททิ้งไป
เมื่อวันที่ 2 พ.ย. นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า หลังจากได้เห็นคำสัมภาษณ์ของผู้ว่า ฯ กทม. เเล้ว รู้สึกสลดใจเเละเห็นใจคนกลางคืนเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ว่าฯซึ่งไม่สนใจเเละไม่เข้าใจธุรกิจกลางคืนหรือคนกลางคืนเเม้เเต่นิดเดียว สาเหตุอาจเพราะการไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มาจากประชาชน จึงไม่เข้าใจปัญหาของคนทำมาหากินเลย การเปิดร้านเเต่ละวันแต่ละคืน เจ้าของร้านเเละลูกจ้างต้องมีภาระมากเเค่ไหนท่านรู้หรือไม่ สมัยผมทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในร้านอาหารเวลาเริ่มงานคือ 16.00 น. - 01.00 น. คือ 9 ชั่วโมง ได้ค่าจ้างวันละ 500 บาท ลองคิดดูถ้าเลิก 21.00 น. เวลาทำงานจะเหลือเพียง 5 ชั่วโมง รายได้ก็ต้องลดตามชั่วโมงงาน เเต่ค่ารถมาทำงานยังเท่าเดิม มันคุ้มกับเขาหรือไม่ ยังไม่นับธุรกิจกลางคืนที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดก็ขาดรายได้มานาน ในมุมของเจ้าของร้านยิ่งเเล้วใหญ่ หากเปิดร้าน 16.00 น. กว่าจะมีลูกค้าเข้าจริงคือหลังเลิกงานก็ประมาณ 18.30 เป็นต้นไป แต่ประมาณ 2 ทุ่มก็ต้องบอกลูกค้าว่าจะสั่งเครื่องดื่มเป็นรอบสุดท้ายไหม ต้องหยุดก่อนสามทุ่ม ตกลงได้ขายจริงก็เเค่ราว 1ชั่วโมงครึ่ง เปิดเเบบนี้ก็เหมือนไม่เปิด เป็นนโยบายที่ไม่เข้าใจคนทำธุรกิจว่าวันสิ้นเดือนคือที่ตัดสินว่าตัวเขาเเละธุรกิจจะสิ้นใจหรือไม่
นายเท่าพิภพ กล่าวต่อว่า เมื่อตัดสินใจเปิดเมือง เปิดเศรษฐกิจก็ต้องเปิดด้วยความเข้าใจไม่ใช่ความกลัว คิดว่าข้อเรียกร้องของสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มเเอลกอฮอลไทยขอขยายเป็น 23.00 น. สามารถทำได้ซึ่งตนสนับสนุนมาตลอด และความจริงก็ควรเปิดเป็นเวลาปกติไปเลย เนื่องจากการควบคุมโรคระบาดปัญหาไม่ใช่เรื่องเวลา หรือเรื่องกลางวันหรือกลางคืน คิดแบบนั้นคือคุมคุนไม่ใช่คุมโรค สิ่งที่ กทม.ต้องทำคือสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินตามมาตรการที่ออกมาจาก SHA ได้ ไม่ว่างบประมาณหรือเครื่องมือต่างๆต้องพร้อมเสริมให้เขา เช่น ชุดตรวจ ATK ราคาถูก หรืออื่น ไม่ใช่การบอกว่าจะส่งคนไปคอยเฝ้าตรวจทั่งกลางวันกลางคืนเหมือนคนเสียสติ จ้องแต่จะเล่นงานคนตัวเล็กตัวน้อย และสิ่งจะต้องปรับปรุงคงเป็นวิธีการลงทะเบียนที่เข้าถึงผู้ประกอบการทั่วไปมากขึ้น ควรมีการลงพื้นที่ไปช่วยเหลือลงทะเบียนไม่ใช่ลงพื้นที่ไปเพื่อปราบปรามอย่างเดียว
"ถ้ามองมุมกลับจากการผู้ว่าฯ กทม.ให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าเครื่องดื่มเหลือหลัง 21.00 น. ให้กระดกให้หมดเลย ยิ่งถือว่าผิดหลักสากลด้านสุขภาพเพราะการดื่มสุราในปริมาณมาก ๆ ในระยะเวลาสั้น ๆ จะทำให้เกิดอันตรายมากกว่า มีตัวอย่างให้เห็นมาเเล้วจากประเทศอังกฤษที่พยายามกำจัดเวลาการดื่มเเอลกอฮอล์ในผับเพื่อลดปัญหาที่เกี่ยวเนื่องจากสุรา ปรากฏว่าปัญหาเพิ่มขึ้นชัดเจนเนื่องจากผู้ดื่มคิดว่ามีเวลาน้อยร้านจะปิดเลยดื่มในเวลาอันสั้นลง แม้ปริมาณน้อยกว่าเดิมเเต่ก็เมามากกว่าเดิมเช่นกัน ทำให้ไม่ใช่วิธีที่ดีในการเเก้ปัญหา"นายเท่าพิภพ กล่าว
นายเท่าพิภพ ยังย้ำอีกว่า อยากให้ผู้บริหารนโยบายประเทศนี้เลิกเสียทีกับการเอาการดื่มสุราในร้านอาหารหรือธุรกิจกลางคืนมาเป็นเเพะรับบาปในการปัดความผิดพลาดจากการกำกับนโยบายสาธารณสุขของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารแผนวัคซีนหรือการตรวจเชิงรุกต่างๆ ส่วนการเปิดประเทศในครั้งนี้ ตนมองว่าจะล้มเหลวตั้งเเต่ไม่เริ่ม เพราะธุรกิจกลางคืนคือสีสันของ กทม.เป็นเอกลักษณ์ที่มีชื่อเสียงและสำคัญไม่แพ้วัดวังต่างๆที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากจะมาสัมผัส ทั้งยังสร้างเงินเเละงานให้กับคน กทม.จำนวนมาก หวังว่า โอกาสที่คน กทม.ได้เลือกใหม่จะมาถึงเร็วๆนี้ เพราะหากวันหนึ่งวันใดที่เรามีผู้ว่าฯ กทม.ที่มาจากการเลือกตั้งได้ เชื่อว่าการออกนโยบายสำหรับเมืองมหานครและผู้คนในเมืองคงดีกว่านี้ เเละเมื่อวันนั้นมาถึง เราคงได้ดื่มหมดเเก้วเพื่อฉลองกันในโอกาสที่ได้เห็นผู้ว่าฯอัศวินของคณะรัฐประหารกลับบ้านของท่านไป