โควิดแนวโน้มลดลง คลัสเตอร์ 6 จว.เฝ้าระวังใกล้ชิด

2021-11-02 07:00:22

โควิดแนวโน้มลดลง คลัสเตอร์ 6 จว.เฝ้าระวังใกล้ชิด

Advertisement

สธ.เผยภาพรวมโควิด-19 แนวโน้มการติดเชื้อลดลง แต่ยังพบคลัสเตอร์ 6 จังหวัดต้องเฝ้าระวังติดตามอย่างใกล้ชิด

เมื่อวันที่ 1 พ.ย.  นพ.เฉวตสรร นามวาท ผอ.กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)  แถลงข่าวสถานการณ์โควิด 19 และการฉีดวัคซีน ว่า สถานการณ์โควิด 19 วันนี้มีผู้ป่วยรักษาหาย 9,574 ราย ผู้ติดเชื้อใหม่ 8,165 ราย เสียชีวิต 55 ราย ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 วัน ทำให้สถานการณ์ภาพรวมของประเทศไทยแนวโน้มการติดเชื้อลดลง แต่ยังพบคลัสเตอร์ในบางพื้นที่ ต้องเฝ้าระวังติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่ 6 จังหวัดได้แก่ นครศรีธรรมราช เชียงใหม่ ตาก ระยอง จันทบุรี และขอนแก่น

นพ.เฉวตสรร  กล่าวต่อว่า วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันแรกที่มีการเปิดประเทศรับผู้เดินทางและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งมีการผ่อนคลายกิจการกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้นในแต่ละพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพสร้างรายได้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินมาตรการเพื่อทำให้การเปิดประเทศเป็นไปด้วยความปลอดภัย โดยการแบ่งระดับสีของพื้นที่และมาตรการต่าง ๆ จะกำหนดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ประชาชน หน่วยงาน และผู้ประกอบการ สามารถศึกษารายละเอียดของมาตรการต่าง ๆ ได้ในแต่ละจังหวัดที่อาศัยเพื่อนำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง สำหรับพื้นที่สีฟ้าซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว 4 จังหวัด ได้แก่ กทม. กระบี่ ภูเก็ต และพังงา ผู้เดินทางจาก 63 ประเทศ/พื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด จะต้องมีประวัติการฉีดวัคซีน และได้รับการตรวจคัดกรองก่อนและหลังเดินทาง เมื่อเข้าประเทศแล้วต้องรอผลการตรวจหาเชื้อ 1 คืน หากไม่พบเชื้อสามารถท่องเที่ยวพื้นที่ใดก็ได้ทั่วประเทศ ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานและผู้ประกอบการต่าง ๆ ได้เตรียมแผนรับมือหากเกิดเหตุการณ์หรือสถานการณ์โควิด 19 รุนแรงขึ้น โดยมีการติดตามอย่างใกล้ชิดและเตรียมมาตรการป้องกันควบคุมโรคไว้สำหรับทุกพื้นที่

"การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจะเป็นไปด้วยความราบรื่น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเน้นหลักสำคัญ 4 ประการ คือ การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม, ประชาชนป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด, เจ้าของกิจการ เข้มมาตรการ COVID-free setting สร้างความปลอดภัยแก่ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ และใช้ชุดตรวจ ATK คัดกรอง เพื่อให้ทราบผลเร็วและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้การควบคุมโรคโควิด 19 ประสบความสำเร็จ เปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย ใช้ชีวิตปกติแบบวิถีใหม่ได้เร็วที่สุด” นพ.เฉวตสรร กล่าว

นพ.เฉวตสรร  กล่าวด้วยว่า สำหรับสถานการณ์โควิด 19 ใน จ.เชียงใหม่ พบว่าปัจจัยเสี่ยงเกิดจากการสัมผัสในชุมชน ร้อยละ 27.9 สัมผัสในครอบครัวร้อยละ 27.7 สัมผัสในที่ทำงาน ร้อยละ 16.4 ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในตลาดสด และสถานประกอบการ ดังนั้นขอให้เจ้าของกิจการประสานมายังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำกลุ่มแรงงานเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม ช่วยลดการระบาด ส่วนคลัสเตอร์ฟันน้ำนม จ.ร้อยเอ็ด แม้เป็นกลุ่มที่ยังไม่มีข้อแนะนำให้ฉีดวัคซีน แต่ความรุนแรงของโรคเกิดได้น้อยกว่ากลุ่มอื่น ยกเว้นเด็กเล็กที่มีโรคประจำตัวต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด หากพ้นระยะการกักตัวถือว่าหายเป็นปกติ ขณะที่คลัสเตอร์คนงานก่อสร้างในกระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการตามมาตรการทั้งการสอบสวนโรค บับเบิ้ลแอนด์ซีล เป็นต้น เพื่อไม่ให้แพร่กระจายเชื้อไปสู่ชุมชนภายนอกแล้ว

สำหรับภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. - 31 ต.ค.2564 สะสม 75,710,277 โดส ฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้วจำนวน 42,388,465 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 30,911,219 ราย และเข็ม 3 จำนวน 2,410,593 ราย ส่วนพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว 17 จังหวัด เป็นเข็มที่ 1 ร้อยละ 79.3 และเข็มที่ 2 ร้อยละ58.8 ขณะนี้วัคซีนได้จัดสรรไปยังพื้นที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีวัคซีนคงคลังในพื้นที่เพียงพอ