"หมอธีระ"ชี้นโยบายพลาดทำไทยแดนดงโรค

2021-07-10 09:08:21

"หมอธีระ"ชี้นโยบายพลาดทำไทยแดนดงโรค

Advertisement

"หมอธีระ" คาดตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงกว่ารายงาน เหตุคนเข้าไม่ถึงการตรวจคัดกรอง นอนรอเตียงจนเสียชีวิตที่บ้าน  ชี้ปัญหาจากการเลือกใช้นโยบายและมาตรการที่ไม่สามารถตัดวงจรการระบาดของโควิด-19 ได้ตั้งแต่ระลอก 2 และระลอก 3  ทำให้กลายเป็นแดนดงโรค คุมไม่ได้ ศึกนี้มีแนวโน้มสูงที่จะยืดเยื้อยาวนานไม่น้อยกว่ากลางปีหน้า

เมื่อวันที่ 10 ก.ค. รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า แม้ในปัจจุบัน จำนวนติดเชื้อรวมจะอยู่อันดับที่ 62 และจำนวนเสียชีวิตสะสมจะอยู่ที่อันดับที่ 85 แต่จำนวนการติดเชื้อใหม่ของเมื่อวาน เป็นอันดับที่ 14 ของโลก และเป็นอันดับ 5 ของเอเชีย และจำนวนการเสียชีวิตของเมื่อวาน เป็นอันดับที่ 16 ของโลก และเป็นอันดับที่ 7 ของเอเชีย นี่เป็นสถิติที่บ่งถึงความวิกฤติของการระบาดในประเทศ ที่กระจายไปทั่วทุกจังหวัด และยังไม่สามารถควบคุมได้ เนื่องจากนโยบายและมาตรการด้านการควบคุมป้องกันโรคที่ดำเนินการมาหลายเดือนนั้นไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

หากมองด้วยสายตาที่แจ่มชัด คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เราเห็นประชาชนจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองโรคได้ ต้องเข้าคิวกันข้ามคืนแต่ก็ได้ตรวจเพียงบางส่วน แสดงถึงโอกาสที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อจริงจะสูงกว่าที่เห็นในรายงานของรัฐอย่างมาก เพราะเป็นภาพที่เห็นมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ ความสะเทือนใจที่เราได้รับรู้รับทราบว่า มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีเตียง ต้องรออยู่ที่บ้าน ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อแพร่เชื้อสู่สมาชิกในครอบครัวจำนวนมาก และผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่นอนรอเตียงจนเสียชีวิตที่บ้าน

จำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุและได้รับการ swab ตรวจพบว่าติดเชื้อโควิดในภายหลัง และอีกหลายต่อหลายรายที่ทนไม่ไหว ต้องทำอัตวินิบาตกรรม ทั้งโดดสะพาน ทั้งผูกคอตาย ปรากฏการณ์ข้างต้นทำให้เราทราบได้ว่า มีโอกาสสูงที่จำนวนผู้เสียชีวิตจริงจากการติดเชื้อโควิด-19 ย่อมมากกว่ารายงานอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน

หลายวันนี้ มีคำถามหลายต่อหลายคำถามที่ถามมา จึงขอสรุปคำตอบในมุมมองของผมมาให้ทราบ และพิจารณาตามที่เห็นสมควร ดังนี้

หนึ่ง วัคซีนนั้นเป็นอาวุธป้องกันที่สำคัญในการต่อสู้กับโรคระบาด ข้อมูลวิชาการทางการแพทย์ และบทเรียนจากต่างประเทศ ชี้ให้เห็นว่า โอกาสในการควบคุมป้องกันโรคระบาดนี้จะมีสูง หากประเทศนั้นใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งได้รับการพิสูจน์จากการวิจัยทางการแพทย์ระดับสากลและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ทั้งในเรื่องประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการ แบบไม่มีอาการ ลดความรุนแรง และลดโอกาสเสียชีวิต ได้แก่ วัคซีน mRNA (Pfizer/Biontech, Moderna) โดยมีวัคซีนอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงลดหลั่นกันลงมาอีกหลายชนิด ที่ได้รับความสนใจด้วยเช่นกัน ได้แก่ Johnson&Johnson และ Novavax

สอง การเลือกรับวัคซีน ส่วนตัวแล้วจะเลือกโดยดูข้อมูลเชิงประจักษ์ จากการวิจัยที่ได้มาตรฐานสากล ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ระดับสากล และมีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก ตรวจสอบได้ และโปร่งใส แต่ไม่เชื่อสิ่งที่เป็นลมปากจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคล หรือข้อมูลการศึกษาที่มีปัญหาด้านระเบียบวิธีวิจัย เช่น ทำในกลุ่มตัวอย่างสองสามคนพอกล้อมแกล้ม เหตุผลหลักคือ วัคซีนเป็นอาวุธป้องกันที่สำคัญ ที่เราจะต้องรับเข้ามาในร่างกาย จึงมีความเสี่ยงทั้งในเรื่องประสิทธิภาพที่จะป้องกันว่าจะมากน้อยเพียงใด รวมถึงอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ วัคซีนจึงส่งผลโดยตรงต่อชีวิต การเลือกใช้จึงต้องใช้ความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำ ลดโอกาสผิดพลาด ยิ่งหากนโยบายวัคซีนระดับประเทศ หากผิดทิศผิดทาง จะส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของทุกคนในสังคมได้ ดังที่เราเห็นบทเรียนทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา แต่สุดท้ายแล้ว หากมีตัวเลือกที่จำกัด ก็ต้องใช้วิจารณญาณตัดสินใจเลือก โดยอาศัยหลักการข้างต้นเช่นกัน และวางแผนในระยะยาว ปรึกษากับบุคลากรทางการแพทย์ที่ท่านเชื่อถือควบคู่กับการหาข้อมูลที่ชัดเจนมาประกอบการตัดสินใจ

สาม ศึกโรคระบาดของเรานั้นมีแนวโน้มสูงที่จะยืดเยื้อยาวนาน ไม่มีใครรู้ว่าจะนานเพียงใด หากให้คาดการณ์ด้วยข้อมูลที่จำกัด คำตอบที่ให้คือไม่น้อยกว่ากลางปีหน้า ด้วยเหตุผลคือ ระบบพื้นฐานของประเทศเรานั้นยังไม่เข้มแข็งพอที่จะกำราบโควิด-19 นี้ได้ ดังจะเห็นได้จากเรื่องศักยภาพของระบบตรวจคัดกรองโรค, ทรัพยากรทั้งคนเงินของหยูกยาและเตียงในระบบการดูแลรักษา, ปริมาณและประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีใช้ รวมถึงการกระจาย, นโยบายอื่นที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อการระบาดซ้ำเติมให้รุนแรงขึ้น เช่น การท่องเที่ยว การเปิดประเทศ เป็นต้น และเหนืออื่นใดคือ ปัญหาเรื้อรังจากการเลือกใช้นโยบายและมาตรการที่ไม่สามารถตัดวงจรการระบาดของโรคได้ตั้งแต่ระลอกสองและระลอกสามในปัจจุบัน ทำให้กลายเป็นแดนดงโรค และทำให้มีการระบาดที่กระจายทั่ว รุนแรง และยังคุมไม่ได้

สิ่งที่คิดว่าดีสุดเท่าที่จะทำได้คือ รับรู้และตระหนักถึงสถานการณ์ และเตรียมตัวเตรียมใจ ให้มีพลังยืนระยะไปยาวๆ ได้ ยืนระยะโดยประคับประคองตัวเอง ครอบครัว และคนรอบข้างไปด้วยกันป้องกันตัวเองและครอบครัวอย่าให้ติดเชื้อ นี่คือเป้าหมายเล็กๆ ที่สำคัญที่สุดใส่หน้ากากเสมอหากก้าวเท้าออกจากบ้าน สองชั้น ชั้นในเป็นหน้ากากอนามัย ชั้นนอกเป็นหน้ากากผ้า นี่คือหัวใจหลักในการป้องกันครับ เจอคนให้น้อยๆ สั้นๆ อยู่ห่า่งมากๆ เลี่ยงการใช้สุขาสาธารณะ หากต้องใช้ ให้ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือทุกครั้ง ปิดฝาก่อนกดชักโครกหมั่นถามไถ่ สังเกตอาการของตนเอง และคนในบ้าน หากไม่สบาย ให้แยกตัวจากคนอื่นในบ้าน และรีบหาทางไปตรวจรักษา วางแผนการใช้ชีวิต เน้นความประหยัด ระวังเรื่องการกู้หนี้ยืมสินหรือการหลอกลวงด้วยกิเลสจากมิจฉาชีพ ชุมชนแต่ละแห่งจำเป็นต้องลองคุยกัน วางแผนว่าจะช่วยให้คนในพื้นที่ของเราอยู่กันโดยใช้เงินหรือมีค่าใช้จ่ายลดลงได้อย่างไรบ้าง ขอให้เราอยู่รอดปลอดภัยไปด้วยกัน ด้วยรักและห่วงใย


ขอบคุณเพจ Thira Woratanarat