ห้ามเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ "เอเลียนสปีชีส์" 13 ชนิด (มีคลิป)

2021-07-02 11:48:39

ห้ามเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ "เอเลียนสปีชีส์"  13 ชนิด (มีคลิป)

Advertisement


กรมประมงออกประกาศห้ามเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ "เอเลียนสปีชีส์"  13 ชนิด คุมการแพร่พันธุ์ทำลายระบบนิเวศ มีผลบังคับใช้  16 ส.ค.64 ห้ามปล่อยลงในแหล่งน้ำธรรมชาติเด็ดขาด ฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ทำผิดซ้ำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้าน

เมื่อวันที่ 2 ก.ค. นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่พันธุ์ ของสัตว์น้ำต่างถิ่น หรือเอเลียนสปีชีส์ ยังคงเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากกรณีปลาหมอสีคางดำที่หลุดรอดเข้าบ่อเลี้ยงกุ้งของเกษตรกร เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำพื้นถิ่นเป็นอย่างมากซึ่งครั้งนั้นกรมประมงได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยการออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่อง กำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามนำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือเพาะเลี้ยงพ.ศ.2561 สำหรับสัตว์น้ำ 3 ชนิด ได้แก่ ปลาหมอสีคางดำ  ปลาหมอมายัน และปลาหมอบัตเตอร์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2561 อีกทั้ง ยังได้มีมาตรการจับสัตว์น้ำเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ด้วยการทำปุ๋ยหมักชีวภาพหรือการฝังกลบ หลังจากนั้นกรมประมงได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการป้องกันการรุกรานของสัตว์น้ำต่างถิ่นในชนิดพันธุ์อื่นๆ และได้มีการประชุมเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การเพาะเลี้ยงในประเทศ การรุกราน ที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร  ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและผู้ประกอบการประกอบกับการพิจารณาสัตว์น้ำในทะเบียนชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ควรป้องกันควบคุมและกำจัดของประเทศไทยตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2561 โดยพิจารณาควบคู่กับทะเบียนชนิดพันธุ์สัตว์น้ำ ต่างถิ่นที่รุกราน 100 อันดับโลก จึงเห็นควรที่จะเพิ่มชนิดพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นที่ขึ้นบัญชีห้ามเพาะเลี้ยงเพื่อให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า ล่าสุดกรมประมงจึงได้อาศัยความตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2560 ออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามเลี้ยงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2564 ลงวันที่ 27 พ.ค. 2564ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันทึ่ 16 ส.ค.2564 นี้ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองพันธุ์สัตว์น้ำพื้นถิ่นหายาก หรือป้องกันอันตรายมิให้เกิดแก่สัตว์น้ำและระบบนิเวศ ซึ่งประกอบสัตว์น้ำด้วย 13 ชนิดได้แก่ 

1. ปลาหมอสีคางดำ ชื่อสามัญ Blackchin tilapia ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodonmelanotheron

2. ปลาหมอมายัน ชื่อสามัญMayan cichlid ชื่อวิทยาศาสตร์  Mayaherosurophthalmus

3. ปลาหมอบัตเตอร์ ชื่อสามัญ Zebra cichlid ชื่อวิทยาศาสตร์  Heterotilapiabuttikoferi

4. ปลาทุกชนิดในสกุล Cichla และปลาลูกผสม ชื่อสามัญ  Peacock cichlid, Butterfly peacock bass ชื่อวิทยาศาสตร์  Cichlaspp.

5. ปลาเทราท์สายรุ้ง ชื่อสามัญ Rainbow trout ชื่อวิทยาศาสตร์  Oncorhynchusmykiss

6. ปลาเทราท์สีน้ำตาล ชื่อสามัญ Sea trout ชื่อวิทยาศาสตร์  Salmotrutta

7. ปลากะพงปากกว้าง ชื่อสามัญ Largemouth black bass ชื่อวิทยาศาสตร์  Micropterussalmoides

8. ปลาโกไลแอทไทเกอร์ฟิช  ชื่อสามัญ Goliath tigerfish, Giant tigerfish ชื่อวิทยาศาสตร์  Hydrocynus goliath

9. ปลาเก๋าหยก ชื่อสามัญ Jade perch ชื่อวิทยาศาสตร์  Scortumbarcoo

10. ปลาที่มีการดัดแปลงหรือตัดแต่งพันธุกรรม  GMO LMO

ชนิดสัตว์น้ำอื่น

1. ปูขนจีน ชื่อสามัญ Chinese mitten crab ชื่อวิทยาศาสตร์  Eriocheirsinensis

2. หอยมุกน้ำจืด  ชื่อสามัญ Triangle shell mussel ชื่อวิทยาศาสตร์  Hyriopsiscumingii

3. หมึกสายวงน้ำเงินทุกชนิดในสกุล Hapalochlaena ชื่อสามัญ Blue-ringed octopus ชื่อวิทยาศาสตร์  Hapalochlaena spp.

ทั้งนี้ ประกาศฉบับดังกล่าว มีแนวทางการปฏิบัติที่สำคัญดังนี้ 

1. กรณีที่เกษตรกรที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกลุ่มเหล่านี้ ต้องดำเนินการขอใบอนุญาตตามประกาศกรมประมง ภายใน 30 วันหลังจากประกาศ มีผลบังคับใช้และเมื่อไม่ต้องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่างถิ่นกลุ่มดังกล่าวแล้วให้รีบนำสัตว์น้ำส่งมอบให้สำนักงานประมงจังหวัด หรือ หน่วยงานกรมประมงอื่นๆในพื้นที่โดยด่วน

2. กรณีที่ประชาชนทำการประมงแล้วได้สัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิดนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ประชาชนสามารถนำไปบริโภคหรือจำหน่ายได้ แต่ต้องทำให้สัตว์น้ำตายก่อนนำไปจำหน่าย

3. กรณีที่สัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิดนี้จากธรรมชาติได้หลุดรอดเข้าในบ่อเพาะเลี้ยงของเกษตรกรโดยไม่เจตนาเกษตรกรสามารถนำไปบริโภคหรือจำหน่ายได้ แต่ต้องทำให้ปลาตายก่อนนำไปจำหน่าย

4. กรณีส่วนราชการ สถาบันการศึกษา หรือกรณีจำเป็นอื่นใดที่ต้องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิดไว้เพื่อศึกษาวิจัยและประโยชน์ทางราชการให้แจ้งขออนุญาตกรมประมงก่อน

5. ห้ามผู้ใดปล่อยสัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิด ลงในแหล่งน้ำธรรมชาติโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีความผิดตามมาตรา 144 แห่ง พ.ร.ก.การประมง 2558 บทลงโทษหากพบผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 64 หรือมาตรา 65 วรรคสอง ต้องระวางโทษตามมาตรา 144 จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง นำสัตว์น้ำไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

รองอธิบดีกรมประมง กล่าวด้วยว่า  การออกประกาศฉบับดังกล่าวโดยห้ามทำการเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำทั้ง 13 สายพันธุ์นี้ ถือเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยลดปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นที่หลุดรอดเข้ามาแพร่พันธุ์และสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรไทย ดังนั้นจึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน หากท่านเลี้ยงสัตว์น้ำต่างถิ่น (สัตว์น้ำจากต่างประเทศ) และไม่ต้องการที่จะเลี้ยงอีกต่อไปแล้ว อย่านำไปปล่อยลงในแหล่งน้ำสาธารณะ ขอให้ท่านนำสัตว์น้ำเหล่านั้นมามอบให้กับทางกรมประมง หรือสำนักงานประมงจังหวัดในพื้นที่ใกล้บ้านท่าน ให้รับไปดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์น้ำต่างถิ่นเกิดการหลุดรอดลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ อันจะสร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศแหล่งน้ำของประเทศในระยะยาว