สภาฯผ่านวาระแรกร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 65

2021-06-03 09:00:47

สภาฯผ่านวาระแรกร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 65

Advertisement

สภาฯผ่านฉลุยร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 65 วาระแรก 269 เสียง ไม่เห็นด้วย 201 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ตั้ง กมธ. 72 คน แปรญัตติ 30 วัน

เมื่อเวลา 23.00 น.วันที่ 2 มิ.ย. ที่ผ่านมา ที่รัฐสภา  นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวสรุปการอภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ว่า วันนี้ประเทศไทยเหมือนกับครอบครัวหนึ่งตั้งชื่อว่าครอบครัวไทยอุดม ซึ่งเป็นครอบครัวกำลังพัฒนา และมีหัวหน้าครอบครัวมาแล้ว 29 คน ซึ่งหัวหน้าครอบครัวส่วนใหญ่มักจัดงบประมาณหรือรายได้ของครอบครัวแบบขาดดุล คือรายจ่ายมากกว่ารายได้ ทำให้ต้องกู้เงินเพิ่ม แม้การกู้เงินเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันอยู่ที่ว่ากู้แล้วเอาไปทำอะไร ถ้าเอาเงินไปใช้ถูกต้อง หนี้ก็น้อยลงได้จนหนี้เป็นศูนย์ จัดงบประมาณสมดุลได้ แต่ถ้ากู้แล้วใช้ไม่เป็น หนี้ก็จะเพิ่มขึ้น นี่ถือเป็นอันตราย  เมื่อปี 2557 มีการเปลี่ยนหัวหน้าครอบครัวด้วยการยึดอำนาจ ได้หัวหน้าครอบครัวที่ชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อเข้ามาก็จัดงบประมาณแบบขาดดุล มีการกู้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 250,000 ล้านบาท ไต่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีเสียงเตือนว่าหนี้สาธารณะจะเต็มแล้ว และจีดีพีลดลงเรื่อยๆ  ขณะที่หนี้ครัวเรือนและอัตราความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น เกิดปัญหาสังคมมากขึ้น ทำให้มีคนลุกขึ้นมาประท้วง  หัวหน้าครอบครัวคนนี้ถูกกล่าวหาว่าหาเงินไม่เป็น แต่เขาไปแคะเงินในกระปุกมาหมด และแอบแก้ไขพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง

นายสุทิน กล่าวต่อว่า เมื่อปี 2561 จากเดิมที่ต้องชำระหนี้เงินต้น 2.5 % และดอกเบี้ยด้วย แก้เป็นต้องชำระหนี้เงินต้น 1.5% และแก้ไขเรื่องการใช้เงินงบกลาง ที่เดิมกำหนดให้ใช้ได้ 3.5%  ถูกแก้เป็น 7.5 %  ทำให้นายกฯใช้เงินจากงบกลางได้มากขึ้น  อีกทั้งแก้ไขพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณที่ระบุไว้ว่ากรณีหากเงินงบกลางมีไม่พอ สามารถใช้เงินคงคลังของประเทศได้ ซึ่งกฎหมายเดิมให้ใช้ได้ 100 ล้านบาท แต่นายกฯคนนี้ไปแก้ให้ใช้ 50,000 ล้านบาท  การแก้ไขกฎหมายทั้ง 3 ส่วนนี้มีพิรุธ ซึ่งแสดงว่าหัวหน้าครอบครัวคนนี้รู้ว่าไม่รอด แล้วไปแคะกระปุก แต่ก็ยังไม่ไหว จึงจำเป็นต้องเอาตัวรอดด้วยการแก้กฎหมายแล้วเอาเงินมาใช้จริงๆ โดยเมื่อปี 2563 โอนงบประมาณมาใส่ในงบกลาง ทำให้นายกฯมีเงินใช้ 80,000 ล้านบาท ซึ่งเงินพวกนี้ตรวจสอบไม่ได้

นายสุทิน กล่าวว่า  และผีซ้ำด้ามพลอยเกิดโรคโควิด-19 เมื่อปี 2563 ทำให้เศรษฐกิจและสังคมเริ่มมีปัญหา หัวหน้าครอบครัวกู้เงินมากขึ้น เป็นประมาณ 7000,000 ล้านบาทเศษ  แต่แทนที่จะเอาเงินกู้มาลงทุน แต่เอาไปแจกผ่านโครงการต่างๆ  ต่อมากู้เงินอีก 1.1 ล้านล้านบาท ตอนนั้นเราคิดว่าดูดี เพราะมีเงิน 400,000 ล้านบาทไปใช้ในการลงทุนแล้วจะได้มีกำไร  แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาจริง เงินตรงนี้ไม่ได้ถูกใช้ ใช้ไม่ถึง 100,000 ล้านบาท และเงินที่เหลือถูกดึงไปใช้ในการเยียวยาและเอาไปแจกกันกินหมด  รวมถึงที่เราติงกันว่าทำไมให้งบประมาณแก่กระทรวงสาธารณสุขน้อย และวันนี้ยังเพิ่งจะเบิกจ่ายได้ครึ่งเดียว จึงเกิดปัญหาด้านสาธารณสุขอ่อนแอ  เมื่อมาถึงปีนี้จึงจนมุม คือรายได้ที่เคยประมาณการณ์ไว้เมื่อปี 2563 กลับขาดเป้าไป 300,000 กว่าล้านบาท วันนี้จึงกู้เงินเพิ่ม ซึ่งใจจริง นายกฯคงอยากกู้เพิ่ม แต่ติดกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ทำให้กู้ได้เต็มที่ คือ 700,000 ล้านบาท วันนี้ครอบครัวนี้รายได้หาย กู้เงินเต็มแม็กแล้ว แล้วยังหวังว่าจะเก็บรายได้ 2.4 ล้านล้านบาท ถ้าเก็บไม่ได้ตามนั้น ก็ตายเลย แล้วมีแววว่าจะไม่ได้จริงๆด้วย   ดังนั้นถ้าเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า ก็ต้องกู้เงินอีก มาซิกแซ็ก ออกพ.ร.ก.กู้เงินอีก 500,000 ล้านบาท  ดังนั้น นายกฯต้องตอบให้ได้ว่าปีหน้าจะเอาอย่างไร 

นายสุทิน กล่าวอีกว่า  ประชาชนหมดหวังกับวัคซีนแก้โควิด-19 และตนเชื่อว่าการจัดซื้อวัคซีนของรัฐบาลมีผลประโยชน์และมีเงินทอน แต่ไม่มีใบเสร็จ แต่ดูภาษากายก็รู้ มีคนหากินบนความเป็นความตายของชาวบ้านแบบไร้มนุษยธรรม  ทั้งการไม่เข้าร่วมโครงการ “โคแวกซ์” และไม่ยอมซื้อวัคซีนของประเทศที่มีความเข้มงวดเรื่องการไม่ติดสินบน ขณะเดียวกันหมอจากโรงพยาบาลเอกชนแฉว่าการเดินเรื่องนำเข้าวัคซีนยุ่งยาก มีเพียงบางยี่ห้อที่รัฐบาลอยากได้เท่านั้นที่ผ่านง่าย ทั้งนี้ ตนขอให้รัฐบาลปรับทำงานเชิงรุก เพราะไวรัสไม่ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง แต่การหาวัคซีนล่าช้า ใช้ระบบราชการ ต้องผ่านขั้นตอน อีกทั้งยังนั่งรอวัคซีนมาหา ทั้งที่ควรวิ่งไปหาวัคซีนและเร่งเจรจา  การจัดงบประมาณแบบนี้ เรารับไม่ได้ จึงลงมติไม่ให้ผ่าน ขอให้ท่านกลับไปทำใหม่

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ชี้แจงว่า  ตราบใดที่เรามีเงินเพียงพอ เราจะดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อย  ส่วนเรื่องหนี้สาธารณะ การระบาดของโควิด-19 มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งหมด ต้องเอาเหตุผล สถานการณ์มาพิจารณาอย่างถ่องแท้ทุกเรื่องตั้งแต่มีเหตุการณ์แพร่ระบาด ก่อนมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในโลก ในเรื่องการกู้เงิน ตนยืนยันว่ายังอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ซึ่งไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ซึ่งหนี้สาธารณะก็มีเกิน 40 เปอร์เซ็นต์มาตลอด เพิ่มขึ้นตามจีดีพี ตามการลงทุน เพิ่มขึ้นตามการใช้จ่ายในการดูแลประชาชน ส่วนเงินกู้ที่รัฐบาลกู้มาตั้งแต่ปี 2557-2564 เราชำระหนี้ไปแล้ว 253,000 ล้านบาท และเงินกู้ที่รัฐบาลกู้มาซึ่งบอกว่ากู้มาแล้วใช้ไม่เป็นประโยชน์ และเงินกู้ตามพระราชกำหนดเงินกู้วันนี้ได้เบิกจ่ายใช้เกือบหมดแล้ว และไปถึงมือประชาชนเป็นจำนวนมาก แต่แน่นอนว่ายังไงก็ไม่พอ แต่ตนยืนยันว่าจะดูแลต่อไป ใช้ทุกมาตรการที่สามารถดำเนินการได้เพื่อดูแลด้านสาธารณสุข ด้านการป้องกัน ดูแลรักษา คุ้มครองรวมถึงเรื่องการจัดหาวัคซีน ทั้งนี้อยากให้พิจารณามองกลับไปเงินกู้ต่างๆ เรานั้นตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบันรัฐบาลได้มีการลงทุนอะไรไปบ้าง ทั้งโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจสังคม ไปกว่า 2.1 ล้านล้านบาท จำนวน 162 โครงการ ซึ่งหลายเรื่องตนพูดไปแล้วแต่ท่านไม่ได้ฟัง ตนอยากขอให้เปรียบเทียบดูอีกครั้ง ทั้งนี้ สถานะทางการเงินของไทย มีไม่กี่ประเทศในโลกที่ได้รับการประเมินสถานะการเงินการคลังเท่าเดิม เมื่อเทียบกับสถานการณ์โลก ก็มีแต่คนในประเทศที่ปรามาสประเทศตัวเองตลอด ส่วนที่ไทยไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์นั้น เพราะโครงการโคแวกซ์เป็นโครงการที่ต้องร่วมลงทุน แม้มีเจตนาที่จะจัดหาวัคซีนให้ประเทศยากจน ไทยก็ได้พยายามเจรจากับโคแวกซ์มาตลอด แต่เราไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่จะรับวัคซีนฟรี เพราะไทยอยู่ในฐานะปานกลาง หากเข้าร่วมโครงการต้องซื้อวัคซีนที่แพงกว่า และจะได้ยี่ห้อที่โครงการโคแวกซ์เลือกเท่านั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของไทย

จากนั้นเวลา  23.40 น. มีการลงมติร่างพ.ร.บ.งบประมาณ โดยที่ประชุมมีมติรับหลักการในวาระที่ 1  ด้วยคะแนน 269 ไม่รับหลักการ 201 งดออกเสียง 2 พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบปมาณ 2564 จำนวน 72 คน โดยแปรญัตติ 30 วัน และนัดประชุม กมธ.ครั้งแรก เพื่อเลือกประธานและตำแหน่งต่างๆ ในวันที่ 4 มิ.ย.เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมงบประมาณ ชั้น 4 อาคารส่วนกลาง จากนั้นนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุม สั่งปิดการประชุมในเวลา 00.04 น.ของวันที่ 3 มิ.ย.