ศาลพิพากษายกฟ้อง"นปช."ปาระเบิดฆ่า"พ.อ.ร่มเกล้า"

ศาล พิพากษายกฟ้อง "นปช." ปาระเบิดสังหาร "พ.อ.ร่มเกล้า" ชี้เหตุ "พยานโจทก์" ไม่น่าเชื่อถือ

เมื่อวันที่ 1 ก.พ. จากกรณีศาลนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีที่ นายสุขเสก พลตื้อ หรือเสก, นางพนกมล บัวฉัตรขาว อดีตผู้ดำเนินรายการทีวีสถานีประชาชนเอเชียอัพเดต และนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือหรั่ง แนวร่วม นปช. ซึ่งตกเป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานขว้างระเบิดใส่กลุ่มทหารที่เข้าสลายชุมนุมทางการเมืองวันที่ 10 เม.ย.2553 ที่ห้องพิจารณา 813 เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ผ่านมา โดยโจทก์ฟ้องพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 15 พ.ย.2552-20 พ.ค.2553 กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ร่วมกันชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นให้ลาออกจากตำแหน่ง กระทั่งวันที่ 7 เม.ย.2553 นายอภิสิทธิ์ ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร พร้อมออกคำสั่งจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. เพื่อปฏิบัติการขอคืนพื้นที่บริเวณ ถ.ราชดำเนินกลาง ตั้งแต่แยกคอกวัวมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จนวันที่ 10 เม.ย.2553 จำเลยที่ 1 และ 3 พร้อมพวก ร่วมกันมีลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบ M.67 คนละ 3 ลูก ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินและจัดหาระเบิดให้ โดยพวกจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นด้วยการขว้างระเบิดสหาร 2 ลูกใส่เจ้าหน้าที่ทหารขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ เป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม หรือ เสธ.เปา อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์, ส.ท.ภูริวัฒณ์ ประพันธ์, ส.ท.อนุพงศ์ เมืองอำพัน, ส.อ.อนุพนธ์ หอมมาลี และพลทหารสิงหา อ่อนทรง (ยศ-ตำแหน่งขณะเกิดเหตุ) เสียชีวิต และมีนายทหารอีกหลายนายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยคดีนี้พวกจำเลยให้การปฏิเสธ

เมื่อถึงเวลา ศาลได้อ่านคำพิพากษาที่มีการบรรยายพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบอย่างละเอียดแล้ว คำเบิกความพยานโจทก์มีข้อพิรุธ อ้างเป็นผู้ติดตามจำเลยแต่ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ ไม่รู้จักกลุ่ม นปช. ไม่มีแรงจูงใจทางการเมือง จึงเชื่อว่าให้การทั้งที่ไม่รู้เห็น แต่ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการเข้าโครงการคุ้มครองพยาน ประจักษ์พยานโจทก์จึงไม่น่าเชื่อถือ และไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังได้ เมื่อพิจารณาคำฟ้องของจำเลยไปเปรียบเทียบกับคดี นปช.ก่อการร้าย ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกัน มูลเหตุช่วงเวลาเดียวกัน ถือว่าเป็นการฟ้องซ้อน จึงพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1-3