ผู้นำโลกโกรธแค้น กรณีการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในจังหวัดอิดลิบของซีเรีย ซึ่งทำให้ผู้บริสุทธิ์ เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งผู้หญิงและเด็ก
กองทัพของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ปฏิเสธการใช้อาวุธเคมี และประณามกบฏอยู่เบื้องหลังการเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมครั้งนี้ ขณะที่ รัสเซีย พันธมิตรแข็งแกร่งของซีเรีย แถลงว่า รัสเซียไม่ได้ส่งเครื่องบินรบไปยังบริเวณดังกล่าว แต่ไล่ไปตั้งแต่กรุงวอชิงตันของสหรัฐ จนถึงกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ บรรดาผู้นำต่างประณามการโจมตีทางอากาศ ซึ่งหากพิสูจน์ได้ว่า เหตุการณ์นี้เป็นจริง ก็จะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์โจมตีด้วยอาวุธเคมีที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า การโจมตีด้วยอาวุธเคมีต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งรวมทั้งผู้หญิงและเด็ก ในซีเรียเมื่อวันอังคาร เป็นสิ่งที่เลวทราม และโลกไม่สามารถวางเฉยอยู่ได้ เขากล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า เขาคิดว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นผลลัพธ์ของความอ่อนแอและความล่าช้าในการแก้ปัญหาของรัฐบาลชุดก่อนของสหรัฐ ซึ่งอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามากล่าวในปี 2555 ว่า เขาจะกำหนด "เส้นสีแดง" ต่อต้านการใช้อาวุธเคมี แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ด้านนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ซึ่งกล่าวต่อที่แถลงข่าวร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี ก็วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซีเรียอย่างดุเดือด จอห์นสัน กล่าวว่า หากมีการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เป็นฝีมือของรัฐบาลอัสซาด นั่นมันก็จะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คิดได้ว่า พวกเขาเลวร้ายอย่างที่สุด ซึ่งถือเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม
การประชุมคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นฉุกเฉิน ถูกกำหนดขึ้นในช่วงเช้าวันพุธ จากการเปิดเผยของนิกกี เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเอ็น ขณะที่ ฌอง-มาร์ก ไอโรท์ รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเรียกร้องให้จัดการประชุมฉุกเฉิน ระบุว่า การโจมตีดังกล่าว เป็นการกระทำที่ชั่วช้า