วอชิงตัน, 11 ม.ค. (ซินหัว) — เมื่อวันจันทร์ (11 ม.ค.) โจ ไบเดน ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งของสหรัฐฯ เข้ารับการฉีดวัคซีนต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ของไฟเซอร์-ไบออนเทค
(Pfizer-BioNTech) โดสที่ 2 ณ โรงพยาบาลในเมืองนวร์ก รัฐเดลาแวร์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาและเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่คณะเปลี่ยนผ่านอำนาจ หลังจากฉีดโดสแรกเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ปีก่อน โดยไบเดน
สวมเสื้อ
โปโลแขนสั้นเพื่อให้ง่ายต่อการฉีดวัคซีน พร้อมกล่าวกระตุ้นชาวอเมริกันสวมหน้ากากอนามัยต่อไป ขณะชูหน้ากากสีดำของตนเอง
สหรัฐฯ แจกจ่ายวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา (Moderna) ทั่วประเทศหลังจากอนุมัติการใช้งานฉุกเฉิน โดยวัคซีนสองตัวนี้ต้องฉีดทั้งหมด 2 โดส เว้นช่วงเป็นเวลาหลายสัปดาห์
เมื่อไม่นานนี้ ไบเดนให้คำมั่นจะแจกจ่ายวัคซีนต้านโรคโควิด-19 เกือบทั้งหมดที่มี หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค. แทนที่จะเก็บวัคซีนไว้หลายล้านโดสเพื่อให้มั่นใจว่าจะมีวัคซีนโดสที่ 2 ใน
ปริมาณที่เพียงพอ เขายังวางแผนฉีดวัคซีนให้ชาวอเมริกัน 100 ล้านคนภายใน 100 วันแรกหลังขึ้นเป็นประธานาธิบดี
แผนการฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ของคณะบริหารภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากดำเนินการล่าช้าจนไม่สามารถทำตามเป้าหมายแจกจ่ายวัคซีน 20 ล้าน
โดสให้ประชาชนภายในสิ้นปี 2020
ขณะเดียวกันแผนการของไบเดนยังไม่แน่นอนและอาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยรายงานระบุว่าไบเดนแสดงความไม่พอใจในประสิทธิภาพการทำงานของคณะเปลี่ยนผ่านอำนาจของเขา แต่เจ้าหน้าที่ในคณะบางคน
ก็วิจารณ์ฝ่ายบริหารของทรัมป์ที่ไม่วางแผนระยะยาวด้านการฉีดวัคซีนให้ประชาชนชาวอเมริกัน
เมื่อถูกถามถึงความผิดหวังเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะ ไบเดนปฏิเสธข้อกังวลที่เกี่ยวข้องและแสดงความเชื่อมั่นในกองปฏิบัติการรับมือโรคโควิด-19 ของเขาว่า “ผมมั่นใจว่าเราจะสามารถทำในสิ่งที่เราต้อง
ทำได้” พร้อมย้ำว่าการที่ชาวอเมริกันเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 จำนวน 3,000-4,000 รายต่อวันนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
อนึ่ง ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ ระบุว่าสหรัฐฯ แจกจ่ายวัคซีนโรคโควิด-19 แล้ว 25.5 ล้านโดส ฉีดให้ประชาชนแล้วเกือบ 9 ล้านโดส เมื่อนับถึงเช้าวันจันทร์ (11 ม.ค.)
สถิติจากมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ ระบุว่าสหรัฐฯ มีผู้ป่วยสะสมสูงสุดในโลกอยู่ที่กว่า 22 ล้านราย มากกว่าอินเดียซึ่งอยู่ในอันดับสองกว่า 2 เท่า ขณะยอดผู้ป่วยเสียชีวิตในสหรัฐฯ สูงทะลุ 375,000 ราย เมื่อ
นับถึงบ่ายวันจันทร์ (11 ม.ค.) โดยมีผู้ป่วยเสียชีวิตรายวันสูงกว่า 4,000 รายครั้งแรกในวันพฤหัสบดี (7 ม.ค.)