ตร.มืดแปดด้านไร้หลักฐานมัดคนอุ้มฆ่า"น้องชมพู่"

2021-01-02 11:30:38

ตร.มืดแปดด้านไร้หลักฐานมัดคนอุ้มฆ่า"น้องชมพู่"

Advertisement

ตร.มืดแปดด้าน ไร้หลักฐานมัด "คนร้าย" อุ้มฆ่า "น้องชมพู่" ลั่นต้องลากคอมาลงโทษให้ได้ 


ข่าวการหายตัวไปของ น้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ชาวบ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 กลายเป็นที่สจใจของสังคม ส่งผลให้เจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงาระดมกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมชาวบ้านช่วยกันออกค้นหา จนกระทั่งช่วงค่ำของวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 เจ้าหน้าที่พบศพน้องชมพู่ ในสภาพร่างเปล่าเปลือย อยู่บนเขาภูพานน้อย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักประมาณ 2 กิโลเมตร หลังพบศพสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงสั่งการให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นนักสืบมือดีในลำดับต้นๆ ของประเทศไทย พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนอีกจำนวนหนึ่ง ลงพื้นที่ประสานงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่เกิดเหตุและตำรวจภูธรภาค 4 โดยร่วมกันสืบสวนสอบสวนทั้งหมู่บ้าน ก่อนขยายวงการสืบสวนไปยังพื้นที่ใกล้เคียง โดยตำรวจชุดสืบสวนใช้เวลาสืบหาเบาะแสคนร้ายโดยไล่สอบปากคำพยานแวดล้อมกว่า 900 ปาก รวมถึงบุคคลที่เคยต้องโทษคดีร้ายแรงเกี่ยวกับเด็ก และคดีความรุนแรงทางเพศนานถึง 2 เดือน โดยผู้ต้องสงสัยในช่วงเวลานั้นที่ทุกฝ่ายพุ่ง คือ นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล สามีของ นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของแม่น้องชมพู่ ส่วนเหตุผลที่ลุงพล ตกเป็นผู้ต้องสงสัย เนื่องลุงพล มีความสนิทสนมกับน้องชมพู่ เป็นอย่างมาก จึงมีความเป็นไปได้ว่าลุงพล อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชมพู่


จากกรณีที่ตำรวจยังไม่สามารถปิดคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ซึ่งใช้เวลายาวนานเพราะต้องรอผลชันสูตรศพของน้องชมพู่ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกันในกลุ่มชาวบ้านกกกอก เรื่องลุงพล อาจเป็นผู้ที่ทำให้น้องชมพู่เสียชีวิต ส่งผลให้ลุงพล ต้องออกมายืนยันผ่านสื่อมวลชนว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมท้าสาบานหากเป็นคนลงมือทำขอให้มีอันเป็นไป จากนั้นตำรวจแถลงยืนยันว่าคดีน้องชมพู่ มีความคืบหน้าถึงร้อยละ 99 โดยอีก 1 เปอร์เซ็นต์คือรอให้สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ สรุปผลตรวจเส้นผมที่หล่นอยู่ใกล้กับศพน้องชมพู่


วันที่ 2 ต.ค.2563 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เปิดแถลงข่าวรายงานความคืบหน้าคดีน้องชมพู่ โดยปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า ลุงพล เกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ เพราะพยานหลักฐานยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ จึงยังไม่แจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลใด และทุกคนยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ พร้อมตั้งสมมติฐานว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นคนใกล้ชิดกับน้องชมพู่ หรืออาจถูกบังคับพาตัวไป พร้อมสรุป 8 เหตุผล ประกอบด้วย

1.เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่มีเนินชันมากกว่า 60 องศา ขวางกั้นในทุกเส้นทาง

2.พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่รับประทานไปไม่เพียงพอต่อการเดินไปบนจุดพบศพ

3.จากประสบการณ์ของชาวบ้าน ยืนยันว่าเด็กอายุเพียง 3 ขวบจะไม่สามารถปีนป่ายขึ้นภูเหล็กไฟ ได้

4.เทียบเคียงการหลงป่าของนางทิน เชื้อคมตา ชาวบ้านกกตูม สามารถหาได้เจอได้ภายในคืนเดียว

5.กุมารแพทย์ ยืนยืนสอดคล้องกับชาวบ้านว่า เด็กอายุเพียง 3 ขวบไม่สามารถเดินขึ้นภูเหล็กไฟ ได้

6.บิดาและมารดาของน้องชมพู่ ยืนยันว่าลูกไม่สามารถถอดเสื้อเองได้ หลังพบศพลูกในสภาพเปลือยเปล่า

7.พบเส้นผมน้องชมพู่ ถูกตัดด้วยมีด จึงเชื่อว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น

8.น้องชมพู่ กลัวที่สูง และกลัวป่า จึงเชื่อว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้พาน้องชมพูไป และทำให้น้องถึงแก่ความตาย


ผบ.ตร. กล่าวทิ้งท้ายว่า หากผลตรวจเส้นผมออกมาแล้วไม่มีพยานหลักฐานใดๆ เพิ่มเติม ก็จำเป็นต้องพักการสืบสวนสอบสวนเอาไว้ก่อนจนกว่าจะมีหลักฐานใหม่ เมื่อนั้นจะเริ่มดำเนินการอีกครั้งเพราะอายุความคดีน้องชมพู่ มีถึง 20 ปี พร้อมยืนยันว่าจะยังคงสืบสวนสอบสวนเชิงลึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำคนผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้