สหรัฐกระจายวัคซีนโควิด-19 แล้ว ฉีดเข็มแรกจันทร์นี้

2020-12-14 07:40:10

สหรัฐกระจายวัคซีนโควิด-19 แล้ว ฉีดเข็มแรกจันทร์นี้

Advertisement

วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เข็มแรกของไฟเซอร์ บริษัทเวชภัณฑ์สัญชาติอเมริกัน ที่พัฒนาร่วมกับไบโอเอ็นเทค (BioNTech) บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของเยอรมนี จะเริ่มฉีดให้ประชาชนทั่วประเทศอย่างเร็วสุดในวันจันทร์นี้แล้ว (14 ธันวาคม) โดยไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค มีกำหนดเริ่มขนส่งวัคซีนกระจายทั่วประเทศในวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่นเลย และเมื่อถึงวันอาทิตย์ วัคซีนโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค เริ่มถูกนำขึ้นรถบรรทุกที่โรงงานของไฟเซอร์ในเมืองคาลามาซู รัฐมิชิแกน เพื่อส่งไปยังศูนย์แจกจ่ายวัคซีนในรัฐต่าง ๆ ทันที และอาจเริ่มการฉีดวัคซีนให้ประชากรอเมริกันกลุ่มแรกในวันจันทร์นี้

สตีเฟน ฮาห์น หัวหน้าสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า รถบรรทุกห้องเย็นจะเริ่มออกจากโรงงานของไฟเซอร์ในวันอาทิตย์พร้อมกับวัคซีนมากกว่า 184,000 โดส และคาดว่าจะมีคนอเมริกันราว 20 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนโดสแรกภายในเดือนนี้

อย่างไรก็ตาม นายฮาห์นกล่าวกับรายการ “This Week” ทางสถานีข่าวเอบีซีว่า อุปสรรคสำคัญคือมีชาวอเมริกันราว 1 ใน 4 หรือถึงประมาณครึ่งหนึ่งที่ยังลังเลกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค แม้ว่าจะผ่านการรับรองจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ แล้วก็ตาม




ด้านพลเอกกุสตาฟ เปอร์นา ของกองทัพสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในการแจกจ่ายวัคซีนต้านโควิด-19 แถลงข่าวในวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า บุคลากรทางการแพทย์และผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชรา คาดว่าจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ชุดแรกจำนวน 2.9 ล้านโดสในเดือนนี้ โดยจะมีการฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์เร็วที่สุดในวันจันทร์ และผู้ที่อาศัยอยู่ที่บ้านพักคนชราในช่วงสุดสัปดาห์ถัดไป แต่แม้จะมีการเตรียมความพร้อมนานหลายเดือน การกระจายและการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน 330 ล้านคน ก็ถือเป็นการท้าทายต่อการขนส่งครั้งใหญ่เช่นกัน เพราะวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค ต้องถูกขนส่งและเก็บในอุณหภูมิเย็นจัดที่่ -70 องศาเซลเซียสเท่านั้น ซึ่งมีความยุ่งยากพอสมควร เปอร์นา กล่าวว่า พวกเรามีงานที่ต้องทำอีกมาก ยังไม่ได้รับชัยชนะง่าย ๆ เรารู้ว่าเส้นทางข้างหน้าของเราจะยากลำบาก

วัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค ได้รับอนุมัติให้ใช้ฉุกเฉินจากสำนักงานอาหารและยา หรือเอฟดีเอ ของสหรัฐในวันศุกร์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ภายหลังเอฟดีเอถูกกดดันอย่างหนักจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้รีบเร่งอนุมัติวัคซีน ซึ่งถือเป็น “ก้าวสำคัญ” ในการสยบวิกฤตการณ์ไวรัสมรณะครั้งนี้ โดยวัคซีนโควิด-19 จำนวนเกือบ 3 ล้านโดสแรกนี้ จะเริ่มขนส่งไปทั่วทุกรัฐในประเทศช่วงสุดสัปดาห์นี้



วัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค ผ่านความอนุมัติให้ใช้ฉุกเฉินในสหราชอาณาจักร, แคนาดา, บาห์เรนและซาอุดีอาระเบีย ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสหรัฐเองก็ไม่ได้แตกต่างจากประเทศเหล่านี้ บุคลากรทางการแพทย์และผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ที่บ้านพักคนชรา จะเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับวัคซีนก่อนกลุ่มอื่น ส่วนชาวอเมริกันกลุ่มอื่น ๆ จะได้รับวัคซีนในเดือนมกราคม ขณะที่กลุ่มคนทั่วไปคาดว่าประมาณเดือนเมษายน

ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าชาวอเมริกันราว 100 ล้านคนอาจได้รับวัคซีนภายในเดือนมีนาคม และการที่วัคซีนโควิด-19 จะได้ผล จำเป็นต้องฉีดทั้งสองเข็ม นอกจากนี้ประชากรราว 75% - 80% ต้องยินยอมเข้ารับการฉีดวัคซีนจึงจะทำให้เกิด "ภูมิคุ้มกันหมู่" ขึ้นมาได้

ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิดในสหรัฐ เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ซึ่งในวันพุธที่ผ่านมาวันเดียว เสียชีวิตทำสถิติสูงสุดกว่า 3,000 ราย สูงสุดในวันเดียวมากกว่าทุกประเทศในโลก



เอฟดีเอ พิจารณาแล้วว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ของไฟเซอร์กับไบโอเอ็นเทค มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคจากโควิด-19 อยู่ที่ 95 เปอร์เซ็นต์ โดยบุคคลที่รับวัคซีนจะต้องมีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป

ระหว่างการแถลงข่าว พลเอกเปอร์นา ซึ่งกล่าวถึงโครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนของรัฐบาลสหรัฐที่ชื่อว่า “Operation Warp Speed” หรือ “ปฏิบัติการเร่งด่วนรวดเร็วแบบหายวับ” ระบุว่า วัคซีนจะถูกบรรจุลงในบรรจุภัณฑ์เพื่อขนส่งภายใน 24 ชั่วโมงหลังผ่านการอนุมัติ คาดว่าจะมีสถานที่ 145 แห่งทั่วประเทศ จะได้รับวัคซีนในวันจันทร์นี้, อีก 425 แห่งในวันอังคาร และอีก 66 แห่งสุดท้ายในวันพุธ

พลเอกเปอร์นา กล่าวกับผู้สื่อข่าวอีกว่า เขา “มั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์” ว่า วัคซีน ซึ่งจะเป็นอาวุธเด็ดในการเอาชนะศัตรูที่ชื่อ “โควิด” จะถูกขนส่งถึงมือประชาชนอย่างปลอดภัย

ทั้งนี้ คาดว่าชาวอเมริกันหลายล้านคนจะเริ่มรับวัคซีนได้ภายในเดือนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากวัคซีนอีกตัวจากบริษัทโมเดอร์นา (Moderna) ได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าอาจได้รับการอนุมัติภายในสัปดาห์หน้า



นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนที่บริษัทแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ร่วมพัฒนากับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และวัคซีนของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson)

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยประกาศว่าจะแจกจ่ายวัคซีนให้ประชาชนได้ทั้ง 330 ล้านคนภายในกลางปีหน้า โดยโครงการพิเศษของรัฐบาลสหรัฐฯ “Operation Warp Speed” ได้สั่งซื้อวัคซีน 100 ล้านโดสจากไฟเซอร์ สำหรับชาวอเมริกัน 50 ล้านคน

สก็อต ก็อตเลียบ กรรมการบริหารของไฟเซอร์ และอดีตกรรมการ FDA ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ในเดือนพฤศจิกายน ไฟเซอร์เสนอขายวัคซีนเพิ่มให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ แต่ข้อเสนอดังกล่าวถูกปฏิเสธ

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังตกลงซื้อวัคซีน 200 ล้านโดสจากบริษัทโมเดอร์นา และจากผู้ผลิตวัคซีนเจ้าอื่น ๆ เช่นกัน



ส่วนดร. แอนโธนี เฟาซี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อของ Operation Warp Speed ระบุว่า หากสหรัฐฯ สามารถให้วัคซีนแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึงภายในไตรมาสที่สองของปีหน้า สหรัฐฯ อาจมีภูมิคุ้มกันหมู่มากพอที่จะปกป้องดูแลสังคมส่วนใหญ่ได้ภายในช่วงสิ้นไตรมาสที่สาม และภายในสิ้นปีหน้า ผู้คนอาจกลับมาใช้ชีวิตได้เกือบเป็นปกติอีกครั้ง

สหรัฐทำสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทะลุ 16 ล้านคนแล้วในช่วงบ่ายวันเสาร์ ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตขยับเข้าใกล้ 300,000 ราย การอนุมัติวัคซีนจึงถือเป็นจุดเปลี่ยนในสหรัฐ ซึ่งไวรัสได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 295,000 ราย มากกว่าทุกประเทศในโลก ขณะที่ตัวเลผู้ติดเชื้อก็เพิ่มสูงขึ้นอีก จนใกล้เกินขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขของประเทศ มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันทำสถิติสูงสุดมากกว่า 232,700 รายในวันศุกร์ จากตัวเลขของสำนักข่าวรอยเตอร์ เฉลี่ย 7 วันล่าสุด สหรัฐมีผู้เสียชีวิต 2,411 รายต่อวัน สูงสุดในตัวเลขเฉลี่ย 7 วันตั้งแต่ไวรัสโควิด-19 เริ่มระบาด

ส่วนผู้ป่วยโควิดที่ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ก็มีถึง 107,684 รายจนถึงวันศุกร์ ถือว่าสูงสุดจนถึงขณะนี้

ในขณะที่หลายประเทศกำลังรับรองวัคซีนโควิด-19 ให้สามารถใช้ได้กับประชากรในประเทศนั้นเป็นกรณีฉุกเฉิน ตัวเลขผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสในประเทศต่าง ๆ ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเชิงสถิติ (CSSE) แห่งมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ ระบุว่า ผู้ติดเชื้อทั่วโลกขณะนี้ อยู่ที่มากกว่า 72 ล้านราย และเสียชีวิตมากกว่า 1,602,500 ราย

ที่ยุโรป อิตาลีแซงหน้าอังกฤษขึ้นมาเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในยุโรปด้วยจำนวน 64,520 คน เทียบกับ 64,267 คนในอังกฤษ โดยตัวเลขผู้เสียชีวิตในอิตาลีเพิ่มขึ้นมากกว่า 25,000 คนตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน

ส่วนที่เกาหลีใต้ สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคเกาหลีใต้ ระบุว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 1,030 รายในวันอาทิตย์ซึ่งมากที่สุดเป็นสถิติใหม่เช่นกัน และที่เม็กซิโก เจ้าหน้าที่ประกาศจำกัดเวลาเปิดร้านค้าและธุรกิจต่าง ๆ ในกรุงเม็กซิโกซิตี้ให้เปิดได้ไม่เกิน 17.00 น. เพื่อลดอัตราการระบาดของโควิด-19

ส่วนที่บราซิล ศาลสูงมีคำสั่งให้รัฐบาลบราซิลออกมาตรการใหม่เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัส ในขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อในบราซิลกำลังแตะหลัก 7 ล้านคน และเสียชีวิตแล้วมากกว่า 180,000 คน