สธ.แจงพยาบาลติดโควิดจากสถานกักกันโรค 4 ราย

2020-12-08 16:10:28

สธ.แจงพยาบาลติดโควิดจากสถานกักกันโรค 4 ราย

Advertisement

สธ.แจงพยาบาลติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศจากสถานกักกันโรคที่รัฐกำหนด 4 ราย ติดตามผู้สัมผัสแล้วทั้งหมด ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม อยู่ระหว่างการสอบสวนหาสาเหตุการติดเชื้อ พร้อมถอดรหัสพันธุกรรม ยันสถานกักกันโรคที่รัฐกำหนด และ รพ.คู่สัญญามีมาตรฐาน เตรียมประชุมซักซ้อมเข้มแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ส่วนผู้ป่วยกลุ่มลักลอบมาจากท่าขี้เหล็กมีเพิ่ม 1 ราย เข้าสู่การรักษาแล้ว

เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พร้อมด้วย ทพ.อาคม ประดิษฐ์สุวรรณ รองอธิบดี สบส. และ นพ.จักรรัฐ พิธยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า สถานกักกันที่รัฐจัดให้และสถานกักกันที่รัฐกำหนด เป็นกลไกสำคัญในการคัดกรองและควบคุมโรคโควิด 19 ที่มาจากต่างประเทศ โดยปัจจุบันมี State Quarantine (SQ) 25 แห่ง Alternative State Quarantine (ASQ) 116 แห่ง Alternative Local Quarantine (ALQ) 39 และ และ Alternative Hospital Quarantine (AHQ) 183 แห่ง ปัจจุบันมีผู้เดินทางเข้ามาสู่ระบบการกักกันทุกรูปแบบ 171,016 คน อัตราการติดเชื้อร้อยละ 0.67 หากพิจารณาเฉพาะส่วนของ ASQ อยู่ที่ร้อยละ 0.54 ถือว่ายังไม่สูงผิดปกติ สำหรับโรงพยาบาลคู่สัญญาที่เข้ามาดูแลผู้เข้ากักตัวในส่วนของโรงแรม ASQ มีจำนวน 17 แห่ง ดังนั้น โรงพยาบาล 1 แห่งจึงเป็นคู่สัญญากับโรงแรมหลายแห่ง

นพ.ธเรศ กล่าวว่า สำหรับกรณีพบผู้ติดเชื้อเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานใน ASQ อยู่ระหว่างการสอบสวนหาสาเหตุร่วมกับกรมควบคุมโรค ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำเข้าสู่ระบบการกักกันและเฝ้าระวังอาการทั้งหมดแล้ว ขณะนี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าโรงแรมที่เข้าร่วมเป็นสถานที่กักกันจะต้องผ่านมาตรฐาน 6 ด้านตามที่กำหนด และโรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญาต้องปฏิบัติตามหลักการควบคุมจัดการโรคติดต่อ การเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคโควิด 19 (Infectious Control) และแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา กรณีโรคโควิด 19 (CPG) อย่างเคร่งครัด โดยวันที่ 9 ธ.ค. 2563 จะประชุมชี้แจงและซักซ้อมแนวปฏิบัติตามคู่มือปฏิบัติงาน (SOP) ผ่านระบบ Web-ex และ Zoom Meeting โดยขอให้ผู้ปฏิบัติงานใน ASQ ดำเนินการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการเข้าเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อและการถอดชุดป้องกัน ที่ต้องดำเนินการอย่างถูกต้องและระมัดระวัง เนื่องจากเป็นจุดเสี่ยงที่อาจทำให้ติดเชื้อได้

ด้าน นพ.จักรรัฐ พิธยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลก วันนี้ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเกือบ 5 แสนราย ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสะสม 67,934,939 ราย เสียชีวิต 1,550,169 ราย ประเทศที่มีการติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย และฝรั่งเศส ส่วนประเทศเมียนมามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,276 ราย สะสม 100,431 ราย และมาเลเซีย รายใหม่ 1,600 ราย สะสม 74,294 ราย สำหรับประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ รวม 19 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศและกักตัวในสถานกักกันโรคที่รัฐกำหนด 14 ราย เดินทางมาจากเมียนมา 6 ราย ตุรกี 1 ราย บัลแกเรีย 1 ราย โมร็อกโก 1 ราย สหรัฐอเมริกา 2 ราย สหราชอาณาจักร 1 ราย เดนมาร์ค 1 ราย และบาเรนห์ 1 ราย ทุกรายเข้าสู่ระบบการรักษาแล้ว ลักลอบเดินทางเข้ามา 1 ราย มาจากเมียนมาเข้าทางเส้นทางธรรมชาติ เข้าสู่ระบบการดูแลรักษา

นพ.จักรรัฐ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 4 ราย เป็นพยาบาลที่ปฏิบัติงานใน รพ.เอกชนคู่ปฏิบัติการของสถานกักกันที่รัฐกำหนด (ASQ) ขณะนี้เข้ารับการรักษาทุกราย สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา อยู่ในระบบการควบคุมสอบสวนโรครวม 39 ราย โดยเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ 1 ราย เป็นหญิงอายุ 21 ปี เดินทางเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติพร้อมเพื่อนที่เป็นชาวราชบุรี (ผู้ติดเชื้อรายเก่าที่รายงานแล้ว) ตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2563 ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามระบบแล้ว ทั้งนี้ ได้รับรายงานในเบื้องต้นว่ามีผู้ติดเชื้อรอการยืนยันอีก 7 ราย ซึ่งทาง จ.เชียงรายได้แถลงข่าวไปแล้วเมื่อเวลา 10.00 น.

นพ.จักรรัฐ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ เริ่มพบการติดเชื้อภายในประเทศโดยอยู่ในวงจำกัดของบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลเอกชนคู่ปฏิบัติการของ ASQ ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค และสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ได้ร่วมลงพื้นที่ดำเนินการสอบสวนโรค ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ ข้อมูลสอบสวนโรคในเบื้องต้น ผู้ติดเชื้อเป็นบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลแห่งเดียวกัน รวม 5 ราย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนคู่ปฏิบัติการของ ASQ โดยรายแรกเริ่มมีอาการและตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2563 (เป็นผู้ป่วยที่รายงานแล้วเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2563) ในวันนี้พบเพิ่ม 4 ราย นับเป็นรายที่ 2 ของกลุ่มก้อนนี้ โดยตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานและพักห้องเดียวกันกับผู้ติดเชื้อรายแรก, รายที่ 3 ตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 5 ธ.ค., รายที่ 4 ตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. ให้ประวัติว่าเริ่มมีอาการเล็กน้อยเมื่อวันที่ 29 พ.ยซ 2563 และรายที่ 5 ตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2563 แต่ไม่มีอาการ ทั้งหมดเป็นเพื่อนร่วมงานของผู้ติดเชื้อรายแรก เบื้องต้นตรวจผู้สัมผัสรวม 280 ราย เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง 51 ราย ผลตรวจทั้งหมดไม่พบการติดเชื้อ และกลุ่มเสี่ยงต่ำ 229 ราย ผลออกแล้ว 14 รายไม่พบการติดเชื้อ และรอผล 215 ราย ส่วนสาเหตุของการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มดังกล่าว อยู่ระหว่างการสอบสวนและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ทั้งนี้ จะได้มีการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมและแถลงให้ทราบต่อไป 

"ทั้ง 4 ราย นั้นเป็นเพื่อนกันและเป็นเพื่อนกับบุคลากรการแพทย์ที่รายงานการติดเชื้อไปก่อนหน้านี้ กลุ่มบุคลากรการแพทย์รอบนี้รวมรอบแรกเป็น 5 ราย ถือเป็นการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน แต่ไม่ใหญ่มาก รายละเอียดรอผลการสอบสวนโรค ต้องมีการตรวจหาสารพันธุกรรมเชื้อเพื่อดูว่าทั้งหมดนี้มีการติดเชื้อมาจากที่ไหน ก่อนจะมีการแถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง"นพ.จักรรัฐ กล่าว 

นพ.จักรรัฐ กล่าวอีกว่า ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการไปยังโรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่งให้กำชับบุคลากรเข้มงวดการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล และสั่งการให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ติดตาม กำกับดูแลมาตรฐานของสถานกักกันทุกรูปแบบ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ในส่วนของผู้โดยสารที่เดินทางเที่ยวบินเดียวกับผู้ติดเชื้อหญิงอายุ 51 ปี จ.สิงห์บุรี ขณะนี้ยังไม่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม หากผู้โดยสารที่เดินทางในเที่ยวบินเดียวกันหรือวันเดียวกัน มีความกังวล สามารถสอบถาม รับคำปรึกษาที่สายด่วน 1422 หรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้ประสานงานกับกระทรวงคมนาคม เข้มงวดมาตรการควบคุมป้องกันโรคของสนามบิน และบนเครื่องบิน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน