"ธนาธร" ชวนใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.ชี้อนาคตประเทศอยู่ในมือทุกคน

2020-12-06 22:15:16

"ธนาธร" ชวนใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.ชี้อนาคตประเทศอยู่ในมือทุกคน

Advertisement

"ธนาธร - ช่อ" ปราศรัยหาเสียงฉะเชิงเทรา ชวนประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.สร้างมิติการเมืองท้องถิ่นแบบใหม่ชี้อนาคตประเทศอยู่ในมือทุกคน

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ที่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา คณะก้าวหน้าฉะเชิงเทรา จัดเวทีปราศรัยใหญ่ นำโดย นายยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ฉะเชิงเทรา เบอร์ 2 โดยมี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ร่วมปราศรัยหาเสียงให้ด้วย ท่ามกลางประชาชนชาวพนมสารคามและพื้นที่ใกล้เคียงที่มาร่วมกันฟังเป็นจำนวนมาก


นายธนาธร กล่าวว่า เราไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลง เราไม่เคยเห็นคุณภาพชีวิตใน จ.ฉะเชิงเทราของเราดีขึ้น ฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดที่ในทางการพัฒนาเศรษฐกิจมีความใหญ่โตมากเป็นอันดับที่ 6 ของประเทศไทย แต่รายได้ครัวเรือนของชาวฉะเชิงเทราอยู่ที่เพียงเฉลี่ยเดือนละ 2.2 หมื่นบาทเท่านั้น ต่ำกว่าเฉลี่ยของประเทศที่ 2.6 หมื่นบาทเสียอีก ทั้งที่ขนาดเศรษฐกิจอันดับที่ 6 ของประเทศ แต่เรากลับมีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ ทั้งที่เรามีแม่น้ำบางปะกงเป็นแม่น้ำสายหลักของภาคตะวันออก แต่คนฉะเชิงเทรา 50เปอร์เซ็นต์ยังเข้าไม่ถึงระบบน้ำประปาที่ดี ทั้งๆ ที่ฉะเชิงเทรามีโรงงานกำจัดขยะ แต่ขยะของจ.ฉะเชิงเทรายังไม่ได้รับการดูแลอย่างเป็นที่น่าพอใจ นี่คือความจริงที่น่าเจ็บปวด ดังนั้นตนและนายยศสิงห์ได้ทำงานกันอย่างหนัก ในการไปดูพื้นที่ต่างๆ รอบ จ.ฉะเชิงเทรา จนออกมาเป็นนโยบายการคมนาคม ที่จะดึงศักยภาพของแม่น้ำบางปะกงออกมาใช้ มีศูนย์กลางที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร (วัดหลวงพ่อโสธร) ทำให้ทุกครัวเรือนมีน้ำประปาสะอาดให้ได้ภายใน 4 ปี ทำให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีทางการเกษตร เช่น โดรนพ่นยา และนโยบายอื่นๆอีกมากมาย

นายธนาธร กล่าวต่อว่า เราต้องการประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ ที่ไม่มีช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยกับคนจนมหาศาลขนาดนี้ ที่คนตัวเล็กตัวน้อยไม่มีช่องทางทำมาหากิน ที่กฎหมายและคุกมีไว้ใช้กับเฉพาะคนจน หลายคนอยากไปร่วมต่อสู้กับขบวนการนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่ทุกวันนี้ แต่หลายคนมีเงื่อนไขปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถออกไปสู้กับพวกเขาได้ แต่วันที่ 20 ธ.ค.นี้ คือช่องที่ถูกเปิดให้เราออกมาร่วมต่อสู้กับพวกเขาได้ เราไม่ได้มีรถถัง ไม่มีปืน ไม่มีกฎหมาย ไม่มีศาลที่อยู่ข้างเรา เรามีสิ่งเดียวคือบัตรเลือกตั้ง เราต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ เราต้องใช้มันเพื่อการเปลี่ยนแลง ทั้งนี้ เราให้สัญญาได้สามอย่าง 1.เราจะต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ สู้กับอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชนทุกรูปแบบ 2.ไม่ซื้อสิทธิซื้อเสียง 3.ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน และเราจะทำให้ดูว่าเราสามารถทำให้ประชาธิปไตยกินได้ ทำให้การเมืองดี คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้นได้ มาเริ่มทำที่การเลือกตั้งท้องถิ่นในวันที่ 20 ธ.ค.นี้

"ขอให้ทุกคนเลือกตั้งอย่างมีความหวัง เชื่อว่าฉะเชิงเทราที่ดีกว่านี้ ประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตย เท่าเทียมเป็นธรรมเป็นไปได้ ไปเลือกตั้งด้วยความหวัง ว่าประเทศของเราจะดีกว่านี้ได้ อย่าเกรงกลัวต่อระบบอุปถัมภ์ ต่อการใช้อิทธิพล ผมทำคนเดียวไม่ได้ ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ ทำคนเดียวไม่ได้ ส.อบจ.ของพวกเราก็ทำคนเดียวไม่ได้ จะเปลี่ยนแปลงจ.ฉะเชิงเทราให้ดีกว่านี้ได้ต้องอาศัยพลังของทุกคน อีก 10 กว่าวันจะถึงการเลือกตั้ง ถ้าท่านเห็นด้วยกับพวกเราช่วยพวกเราหน่อย ช่วยประชาสัมพันธ์ความฝันของเรา บอกคนรู้จักให้ไปเลือกตั้ง ไม่ใช่แค่ จ.ฉะเชิงเทรา แต่ใน 42 จังหวัดที่พวกเราส่งคนไปแข่งขัน นี่คือวิธีเดียวที่เราจะสร้างประชาธิปไตยจากอิฐก้อนฐานได้ อนาคตฉะเชิงเทราจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทุกท่านในวันที่ 20 ธ.ค. อนาคตประเทศไทย อนาคตประชาธิปไตยไทยจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทุกท่านในวันที่ 20 ธ.ค. ผมขอเชิญชวนทุกท่านมาสร้างการเมืองที่จะผลักดันไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยด้วยกัน” นายธนาธร กล่าว


ด้าน น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า วันนี้ตนไม่ได้มาเพื่อพูดเรื่องนโยบาย แต่จะมาพูดให้ฟังว่าการเลือกตั้งในวันที่ 20 ธ.ค.ที่กำลังจะมาถึงนี้มีความสำคัญอย่างไร ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเราให้ความคาดหวังกับ ส.ส.ในการแก้ปัญหาต่างๆที่อยู่รอบตัวประชาชน แต่ในทางความเป็นจริง ส.ส.ไม่มีงบประมาณและอำนาจที่จะไปช่วยเรื่องเหล่านี้ได้ ช่วยได้เพียงการประสานงานต่างๆ เท่านั้น แต่การเลือกตั้งในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ไม่เหมือนเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2562 ที่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งนี้คือการเลือกตั้งนายก อบจ. ที่จะมาเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาน้ำประปา ช้างป่า บ่อขยะ ที่มีอำนาจและงบประมาณที่จะแก้ไขได้ตรงจุด ว่าเงิน 1,000 ล้านบาทต่อปีในจังหวัดฉะเชิงเทราที่มาจากภาษีประชาชน จากหยาดเหงื่อแรงกายของพวกเรา จะไปอยู่ในมือของใคร นี่คือเรื่องใกล้ตัวที่สุด ชีวิตความเป็นอยู่ของเราและอนาคตของลูกหลานเราที่จะเติบโตขึ้นไป ว่าจะเอาเบอร์ไหน เอาใครไปใช้เงิน 4 พันล้านบาทตลอดวาระ ไปทุบถนนแล้วทำใหม่ซ้ำไปซ้ำมาหรือว่าจะเอาไปแก้ปัญหาน้ำประปา ช้างป่า บ่อขยะ ที่เป็นปัญหาเรื้อรังของชาวฉะเชิงเทรา

"ความสำคัญประการต่อมา คือความเกี่ยวข้องกับการเมืองระดับชาติ กับสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังมีการขับเคลื่อนเพื่อประชาธิปไตยอยู่ในขณะนี้ ตลอดเวลาที่ตนไปหาเสียง มักจะได้รับคำถามอยู่ตลอดเวลาว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรถ้าเอาแต่มาหาเสียง ไม่ไปช่วยนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนที่ชุมนุมกันอยู่ แต่สิ่งที่ตนต้องพูดให้ชัด ว่าพวกเราที่เคลื่อนไหวชุมนุมกันมาตลอดเวลา แม้เป็นการต่อสู้ที่น่าภาคภูมิใจและเป็นหน้าที่ของเราทุกคน แต่ในระหว่างที่เราสู้อยู่ในสนามที่เรายังไม่ชนะ เราต้องขยายพื้นที่ออกไปด้วย เราต้องมีอำนาจรัฐเป็นของตัวเอง ในวันที่อำนาจรัฐ กฎหมาย กองทัพ กลไกราชการเป็นของฝ่ายเผด็จการ เราต้องทำทุกวิถีทางให้เราได้มาซึ่งอำนาจรัฐที่จะปกป้องคุ้มครองประชาชน" น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่ออีกว่า จังหวัดไหนก็ตามที่ อบจ.เป็นคนของคณะก้าวหน้า เขาจะช่วยปกป้องประชาชน ไม่ต้องมีใครตายใครเจ็บ โดนยัดเข้าคุก เขาคือคนที่เป็นพ่อเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน ไม่ใช่คนที่ได้รับแต่งตั้งมาจากกระทรวงมหาดไทย เขาคือคนที่จะไม่มีวันหันกระบอกปืน รถน้ำ รถขยะเข้าหาประชาชนที่ออกมาเรียกร้องเพื่อสิทธิเสรีภาพของตัวเอง ต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชายังอยู่ อำนาจรัฐยังเป็นของ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ แต่ตราบใดก็ตามที่เรามีนายก อบจ.ของเราอยู่ในอำนาจ พวกเขาจะเป็นปราการของประชาชนที่จะบอกว่านายกของจังหวัดนี้จะปกป้องประชาชน มีเจ้านายคือประชาชน จะไม่ทำตามคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์

"ประการต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กัน การเลือกตั้ง อบจ.ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2555 บางจังหวัดไม่ได้เลือกมาแล้ว 8-10 ปี สิ่งที่เกิดขึ้นคือลูกหลานของเราที่มีอายุ 18-26 วันนี้ยังไม่เคยได้เลือกตั้งนายก อบจ.ของตัวเองเลยสักครั้งในชีวิต ภาษีปีละ 1 พันล้านที่อยู่ในมือนายก อบจ.ที่เราไม่ได้เลือกสูญสลายหายไปไหนโดยที่เราไม่มีทางรู้เลย เพราะพวกเขาอยู่ต่อในอำนาจมาเรื่อยๆโดยอาศัยอำนาจการต่ออายุของ คสช. แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านี้ย่อมไม่รับใช้ประชาชน นี่คือโอกาสที่เราเสียไปในรอบเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ปีนี้จะมีคนอีกเป็นแสนๆ คนที่จะเสียสิทธิการเลือกตั้ง เพราะยังย้ายทะเบียนบ้านมาไม่ครบ 1 ปีดี แล้วคนเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็คือลูกหลานของทุกคน บ้างก็เพราะไปเรียนหนังสือ บ้างก็เพราะไปทำงาน การเลือกตั้งครั้งนี้ จึงต้องฝากความหวังไว้ที่คนที่อยู่ที่บ้าน ที่จะได้ไปเลือกตั้ง" น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวด้วยว่า วันที่ 20 ธ.ค.นี้ ช่วยกันบอกเพื่อน บอกเพื่อนบ้าน บอกเพื่อนที่ทำงาน ช่วยกันบอกทุกคน ทำทุกอย่างที่เป็นไปได้ ใครที่มีสิทธิเลือกตั้ง ขอร้องให้ทุกคนไปใช้สิทธิ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเราเอง อนาคตของเรา หรือของจังหวัดเรา แต่เพื่อคนที่อยากเลือกตั้งแต่เลือกไม่ได้ เลือกเพื่อคนที่ไม่ยอมทนอีกแล้วกับอำนาจที่ไม่ยุติธรรมแต่เขาเสียสิทธิที่จะไปเลือก 20 ธ.ค. 1 สิทธิ 1 เสียงของทุกคน ขออย่าให้มีแม้แต่เสียงเดียวที่นอนอยู่กับบ้านเพียงเพราะขี้เกียจไป เพียงเพราะคิดว่าไปก็ไม่ชนะ ถ้าคิดเช่นนี้เราจะแพ้ไปตลอดกาล ถ้าท่านปล่อยให้สิทธิและเสียงของท่านนอนอยู่ที่บ้าน ท่านกำลังปล่อยให้ประเทศนี้แพ้