สธ.เผยยอดผู้ป่วยโควิดจากท่าขี้เหล็ก 13 ราย

2020-12-04 18:45:08

สธ.เผยยอดผู้ป่วยโควิดจากท่าขี้เหล็ก 13 ราย

Advertisement

สธ. แจงผู้ป่วยโควิด 13 รายเดินทางจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ระบุชายไทย 28 ปี จ.เชียงรายติดเชื้อภายในประเทศจากการสัมผัสผู้ป่วยรายที่พะเยา ส่วนหญิงวัย 51 ปี ไม่ได้ข้ามไปประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าข้อมูลเป็นจริงจะเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 

เมื่อวันที่ 4  ธ.ค. ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี  นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค และนพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป แถลงข่าวความคืบหน้าสถานการณ์โรคโควิด 19 จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา

นพ.โอภาส กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เดินทางมาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.2563 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 13 ราย เดินทางเข้าช่องทางธรรมชาติ 10 ราย ประกอบด้วย เชียงใหม่ 3 ราย เชียงราย 3 ราย กรุงเทพมหานคร 1 ราย พะเยา 1 ราย พิจิตร 1 ราย และราชบุรี 1 ราย และเข้ามาตามระบบ เป็นชาวเชียงรายทั้ง 3 ราย ผู้ที่เดินทางกลับเข้ามามีความเสี่ยงรับเชื้อมาด้วย จึงขอให้คนไทยในฝั่งท่าขี้เหล็กแจ้งรายชื่อ ขอเดินทางกลับประเทศไทยอย่างถูกต้อง ซึ่ง จ.เชียงรายได้จัดเตรียมสถานที่กักกันโรคหลายร้อยห้องรองรับ หากเข้ามาตามเส้นทางธรรมชาติ จะมีการตรวจจับดำเนินคดีตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะตรวจตราเข้มตามแนวชายแดน มี อสม.ช่วยเฝ้าระวังตามสถานที่ต่างๆ รวมถึงประชาชนช่วยกันเฝ้าระวัง หากพบผู้เดินทางกลับมาอย่างผิดกฎหมาย ไม่ได้ผ่านการกักกัน 14 วัน ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือ อสม.ทันที

นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ขอความร่วมมือภาคประชาสังคม ผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ และผู้จัดกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่สาธารณะ ต้องเข้มมาตรการสวมหน้ากาก หมั่นทำความสะอาดตามจุดสัมผัสต่างๆ จัดจุดล้างมือ เว้นระยะห่าง และสแกนไทยชนะทุกครั้ง ส่วนสถานพยาบาลจะช่วยคัดกรองกลุ่มเสี่ยงต่างๆ และให้คำแนะนำประชาชน กระทรวงมหาดไทยได้กำชับให้ทุกจังหวัดกำกับติดตามให้สถานที่ต่าง ๆ ที่ให้บริการ ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันโรค เช่น สถานบันเทิง เป็นต้น หากไม่ปฏิบัติตามมีอำนาจสั่งปิดได้ทันที กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับโรงเรียนและสถานที่ต่างๆ คือ ให้ปิดเฉพาะกรณีที่พบผู้ป่วยยืนยันโควิด 19 ในสถานที่นั้นๆ หากเป็นผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องปิดสถานที่ โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจะต้องเข้ารับการกักกันเพื่อเฝ้าระวังอาการ ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำหรือผู้สัมผัสที่ใกล้ชิดกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงก็ไม่ต้องปิดสถานที่เช่นเดียวกัน แต่แนะนำให้เฝ้าระวังอาการ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง โดยสถานที่นั้นๆ สามารถทำความสะอาดบ่อย ๆ เพื่อความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจ หากมีผลการสอบสวนโรคเพิ่มเติมจะรายงานให้ทราบต่อไป

“ส่วนผู้ที่เดินทางกลับมาจากเชียงใหม่และเชียงราย ถ้าไม่ได้อยู่สถานที่เดียวกับผู้ป่วย ถือว่าไม่มีความเสี่ยง ไม่จำเป็นต้องกักตัว ในกรณีนักเรียนที่ไปเที่ยวเชียงใหม่แต่ไม่ใช่พื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อ การให้กักตัวถือว่าเป็นมาตรการที่เกินความจำเป็น สำหรับการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่จ.กำแพงเพชร ชายไทยอายุ 49 ปี ผลตรวจพบปริมาณสารพันธุกรรมน้อยและมีภูมิคุ้มกันขึ้นแล้ว แสดงว่าติดเชื้อมานาน และผู้สัมผัสใกล้ชิดผลการตรวจเป็นลบ จึงไม่จำเป็นต้องดำเนินการปิดโรงเรียน” นายแพทย์โอภาสกล่าว

ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อ 65,527,498 ราย เป็นการติดเชื้อรายใหม่ 678,631 ราย ถือว่าแนวโน้มการระบาดยังสูงต่อเนื่อง เสียชีวิตสะสม 1,511,719 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 12,679 ราย โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย และฝรั่งเศส สำหรับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการติดเชื้อสูง คือ เมียนมา และมาเลเซีย โดยเมียนมามีผู้ป่วยรายใหม่ 1,418 ราย มาเลเซีย มีผู้ป่วยรายใหม่ 1,075 ราย ทำให้ต้องเฝ้าระวัง ผู้เดินทางอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทย วันที่ 4 ธ.ค. มีผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่ 14 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อในประเทศ 1 ราย สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ ส่วนอีก 13 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ เป็นคนไทย 9 ราย คนต่างชาติ 4 ราย เข้าสู่ระบบการกักกันในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ 8 ราย และสถานกักกันที่รัฐกำหนด 5 ราย ยังมีผู้ป่วยอยู่ในการรักษาพยาบาล 154 ราย เกินครึ่งไม่มีอาการ ที่เหลือมีอาการเล็กน้อย

นพ.โสภณกล่าวว่า ความคืบหน้าการติดตามผู้ป่วยโควิด 19 ที่เดินทางมาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ผู้สัมผัสของผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เข้ามาทางเส้นทางธรรมชาติจำนวน 10 รายนั้น ได้ทำการตรวจหาเชื้อผู้สัมผัสมากกว่า 250 ราย ส่วนใหญ่ให้ผลเป็นลบ แต่มีชายไทยอายุ 28 ปี อาชีพพนักงานสถานบันเทิงใน จ.เชียงรายที่ติดเชื้อ จากการสอบสวนโรคพบว่า วันที่ 28 พ.ย.  ได้ไปพบผู้ติดเชื้อของ จ.พะเยา ที่เดินทางกลับมาจากท่าขี้เหล็กพร้อมเพื่อนอีก 2 คน และพักห้องเดียวกัน ช่วงเย็นไปทำงานร้านอาหารตามปกติ วันที่ 29 พ.ย.  มีการรับประทานอาหารด้วยกัน ไปเที่ยวงานฟาร์ม เฟสติวัล กับกลุ่มเพื่อนดังกล่าว วันที่ 30  พ.ย. ไปเที่ยวสถานบันเทิง และเดินทางต่อไป จ.เชียงใหม่กับเพื่อนด้วยรถส่วนตัว วันที่ 1 ธ.ค. เดินทางกลับจ.เชียงรายด้วยรถโดยสารประจำทาง ช่วงเย็นไปทำงานตามปกติ วันที่ 2 ธ.ค. เริ่มมีอาการเจ็บคอ จึงไปขอตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ผลตรวจพบเชื้อโควิด 19 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ขณะนี้อาการดี ไม่มีไข้

“ประชาชนที่ไปงานฟาร์ม เฟสติวัลเวลา 19.30-21.30 น. และเที่ยวในบริเวณงาน โดยเฉพาะโซนลานเบียร์ หน้าเวที และห้องน้ำ ให้สังเกตอาการโรคระบบทางเดินหายใจ มีไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก อาการเด่นของโควิด 19 คือจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รับรส ให้สวมหน้ากาก หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชน และผู้ที่ลงทะเบียนไทยชนะหากได้รับข้อความ ให้ติดต่อผู้จัดงานหรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพื่อรับคำแนะนำในการเฝ้าระวังและนัดสถานที่ตรวจหาเชื้อ ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.2563 เช่นเดียวกับผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกับผู้ป่วย ขอให้สังเกตอาการ รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในภูมิลำเนา เพื่อรับคำแนะนำในการเฝ้าระวังอาการ”  นพ.โสภณ กล่าว

นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า สำหรับหญิงไทยอยุ 51 ปี จ.สิงห์บุรี ที่ตรวจพบการติดเชื้อโควิด 19 โดยระบุว่านั่งเครื่องบินลำเดียวกับผู้ป่วยโควิด 19 ที่เดินทางกลับมาจากเชียงราย เบื้องต้นแจ้งว่าเดินทางไป จ.เชียงรายและไม่ได้ข้ามไปประเทศเพื่อนบ้าน หากข้อมูลนี้ถูกต้องก็จะเป็นอีก 1 รายที่ติดเชื้อภายในประเทศ แต่ขณะนี้ข้อมูลยังไม่ครบถ้วน อยู่ระหว่างการสอบสวนโรคและเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุและสถานที่รับเชื้อ หากทราบข้อมูลเพิ่มเติมจะนำเสนอต่อไป ขอให้ผู้ที่ถูกสอบสวนโรคให้ข้อมูลตามความเป็นจริงเพื่อประโยชน์ของตัวท่านเองและผู้ใกล้ชิด และการสอบสวนโรคเป็นไปอย่างถูกต้อง เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาดและการป้องกันควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว