สธ.พบผู้ป่วยโควิด 19 อีก 1 รายที่เชียงราย

2020-12-01 21:20:42

สธ.พบผู้ป่วยโควิด 19 อีก 1 รายที่เชียงราย

Advertisement

สธ.พบผู้ป่วยโควิด 19 เพศหญิงเพิ่ม 1 ราย ที่จ.เชียงราย อายุ 25 ปี ลักลอบเข้าประเทศเช่นกัน ยันเชียงใหม่ เชียงรายอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ 

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จ.นนทบุรี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุภาพที่ 1 และ นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงความคืบหน้าการติดตามผู้สัมผัสกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ จ.เชียงใหม่และเชียงราย


นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เราพบผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่ จ.เชียงใหม่ 1 ราย และเชียงราย 2 ราย เป็นการเดินทางลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งแถลงข่าวไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดพบผู้ป่วยโควิด 19 อีก 1 รายที่จ.เชียงราย ลักลอบเดินทางเข้าประเทศเช่นกัน เป็นหญิงไทยอายุ 25 ปี และเป็นเพื่อนร่วมงานในสถานบันเทิงประเทศเมียนมา อย่างไรก็ตาม เราสามารถตรวจจับ ควบคุมโรคและติดตามผู้สัมผัสได้เป็นอย่างดี ขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยที่เกิดจากการสัมผัสผู้ป่วยทั้ง 4 ราย สถานการณ์ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ คือ มีผู้ป่วยนำเข้าเป็นรายๆ (Spike) สามารถติดตามควบคุมโรคได้รวดเร็ว และยังไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิดขึ้นจากผู้ป่วย 3 รายที่จ.เชียงราย เนื่องจากเมื่อทราบข่าวของรายที่เชียงใหม่จึงมีการใส่หน้ากาก ป้องกันตนเองอย่างดี และหลีกเลี่ยงไปสถานที่ชุมชน ทั้งนี้ ประเทศไทยมีพรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้านเป็นระยะทางยาว แม้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะพยายามติดตามอย่างเข้มงวด และอสม. อสต. ช่วยเฝ้าระวังในชุมชน ก็ต้องขอความร่วมมือประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา หากพบเห็นบุคคลไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือต่างชาติ ที่ไม่ได้ผ่านการกักตัว ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำรวจโดยเร็ว และขอให้คนไทยที่ต้องการกลับบ้านเดินทางเข้าประเทศอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้รับการคัดกรอง หากติดเชื้อจะได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ครอบครัว คนใกล้ชิด และชุมชน ส่วนประชาชนในพื้นที่เชียงใหม่และเชียงรายยังสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ เนื่องจากมาตรการสาธารณสุขยังควบคุมสถานการณ์ได้ดี บางอำเภอก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง ดังนั้น ประชาชนยังสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ แต่ขอให้คงมาตรการการป้องกันส่วนบุคคล คือ การใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และหมั่นล้างมือ เป็นวัคซีนช่วยป้องกันโรคได้


นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เชียงใหม่ขณะนี้อาการดีขึ้น ไม่มีอาการรุนแรง ส่วนผู้ป่วย 2 รายที่เชียงราย มีผู้สัมผัสทั้งหมด 27 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 4 ราย และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 23 ราย ขณะที่ผู้ป่วยรายที่ 3 ของเชียงรายเป็นหญิงไทยอายุ 25 ปี มีภูมิลำเนาที่ จ.พะเยา โดยต้นเดือน พ.ย.ไปทำงานที่ท่าขี้เหล็กพร้อมเพื่อน 2 คน, วันที่ 24 พ.ย.เดินทางมาตามช่องทางธรรมชาติพร้อมเพื่อน 2 คน ที่อ.แม่สาย โดยใส่หน้ากากตลอด, วันที่ 24-27 พ.ย.เข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอแม่สาย ไม่ได้ออกจากห้องไปไหน, วันที่ 28-30 พ.ย.เข้าพักโรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.เมืองเชียงราย และประสานเจ้าหน้าที่ขอรับการตรวจ, วันที่ 30 พ.ย. เข้ารับการกักตัวที่กองร้อย อส. ทำการตรวจหาเชื้อแล้วพบเชื้อโควิด 19 ส่งเข้ารับการรักษาที่ห้องแยกโรค รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ โดยมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 2 ราย คือเพื่อนที่เดินทางกลับมาด้วยกัน แต่ผลการตรวจเป็นลบ ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำมีไม่มาก จะเฝ้าระวังจนครบ 14 วัน

นพ.โสภณกล่าวต่อว่า จากการประเมินความเสี่ยงของการระบาดใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตามการประเมินความเสี่ยงผลกระทบจากการระบาด (Outbreak Impact Risk) โดยประเมินจากผู้ป่วย เชื้อ และสิ่งแวดล้อม พบว่า ผู้ป่วยทั้ง 3 ราย มีอาการน้อย เข้าสู่การรักษาอย่างรวดเร็ว แม้จะพบเชื้อในทางเดินหายใจปริมาณมาก แต่ทั้ง 3 ราย กังวลว่าจะติดโรคโควิด 19 จึงสวมหน้ากาก และหลีกเลี่ยงพบคนจำนวนมาก โดยอยู่แต่ในที่พัก ทำให้ลดความเสี่ยง โอกาสแพร่เชื้อสู่คนอื่นจึงน้อย ขณะที่หน่วยงานในพื้นที่ติดตามผู้สัมผัสได้อย่างรวดเร็ว ร้านค้าผู้ประกอบการร่วมมือป้องกันโรค ฝ่ายปกครองและความมั่นคงตรวจตราป้องกันการเข้าเมืองผิดกฎหมาย สถานการณ์นี้จะป้องกันการแพร่เชื้อต่อในพื้นที่ได้อย่างดี ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ตระหนักมากขึ้น สวมหน้ากากเพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 80

นพ.โสภณ กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดรับคนไทยกลับประเทศ ทำให้มีคนไทยทยอยเดินทางเข้าในประเทศ โดยทุกคนต้องเข้ารับการกักตัว 14 วันในสถานกักตัวที่รัฐจัดให้และรัฐกำหนดทุกประเภท และเมื่อประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงได้เปิดรับชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจและรับการรักษาโรคอื่นที่ไม่ใช่โควิด 19 และท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa : STV) เพื่อสร้างความสมดุลของระบบสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่ภาครัฐกำหนด ตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. - 1 ธ.ค. 2563 มีผู้เดินทางเข้าประเทศ 163,735 คน ทุกคนเข้ารับการกักตัวในสถานที่กักกันที่รัฐระบุไว้ (SQ, LQ, ASQ, ALQ, OQ และ AHQ) ในจำนวนนี้ตรวจพบเชื้อโควิด 19 จำนวน 1,044 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.64 ของผู้ที่เดินทางทั้งหมด โดยเป็นคนไทย 826 ราย ต่างชาติ 218 ราย กลับบ้านได้ 910 ราย มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ปัจจุบันมีผู้เดินทางเข้าประเทศประมาณวันละ 700 – 800 คน เมื่อเทียบกับในอดีตที่เดินทางเข้ามาวันละประมาณแสนคน ถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม อนาคตมีแนวโน้มว่าจะมีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น หากมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ในต่างประเทศและในประเทศไทย จึงต้องเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางที่มากขึ้น โดยการเดินทางเข้ามาในช่องทางที่ถูกต้อง มีระบบกักกันโรคและตรวจหาเชื้อ แต่การลักลอบเข้าทางพรมแดนธรรมชาติทำให้มีความเสี่ยงได้ จึงต้องขอให้ช่วยกันป้องกัน สอดส่องการเข้ามาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย


นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุภาพที่ 1 กล่าวว่า การดำเนินงานสอบสวนและควบคุมโรคของ จ.เชียงใหม่ และเชียงราย สามารถดำเนินการได้ตามมาตรฐาน สำหรับการติดตามผู้สัมผัสผู้ป่วยโควิด 19 เพศหญิงที่เชียงใหม่ ขณะนี้เพิ่มเป็น 336 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 112 ราย โดย 90 รายผลตรวจไม่พบเชื้อ ที่เหลืออยู่ระหว่างรอผลการตรวจและติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 152 ราย ตรวจไม่พบเชื้อ 79 ราย ที่เหลืออยู่ระหว่างรอผลตรวจและติดตาม และผู้สัมผัสอื่นๆ 72 ราย ผลตรวจไม่พบเชื้อ 47 ราย โดยภายใน 1-2 วัน จะมีการเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 และเฝ้าระวังให้ครบ 14 วัน อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำเรื่องการใส่หน้ากากและเว้นระยะห่าง จะช่วยลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อ และทำให้ควบคุมโรคได้อย่างเต็มที่ สำหรับด่านพรมแดนได้มีการเฝ้าระวังและสุ่มตรวจหาเชื้อเป็นระยะ และขอให้คนที่เดินทางกลับเข้ามาและมีความเสี่ยง เข้ามารับการตรวจทุกราย