โพลชี้ ปชช.ยังเชื่อมั่นรัฐบาลชู"บิ๊กตู่"ได้ไปต่อ

2020-11-20 10:55:44

โพลชี้ ปชช.ยังเชื่อมั่นรัฐบาลชู"บิ๊กตู่"ได้ไปต่อ

Advertisement

"ซูเปอร์โพล" เผย ปชช.เห็นด้วยกับ "นายกฯคนกลาง" ส่วน "บิ๊กตู่" ได้ไปต่อ เพราะผลงานรัฐบาล




เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง นายกฯ ตู่ ได้ไปต่อ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,477 ตัวอย่างระหว่างวันที่ 15-19 พ.ย.ที่ผ่านมา เมื่อถามความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 95.7 ระบุว่า ด้านสุขภาพ โดย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้บัตรประชาชนใบเดียวสามารถใช้ได้ทุกโรงพยาบาล รองลงมาร้อยละ 95.5 ระบุว่า ด้านคมนาคม โดย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีผลงานสร้างถนนและเส้นทางต่างระดับเชื่อมภูมิภาค เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ร้อยละ 94.6 ระบุว่า ด้านการศึกษา โดย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีผลงานความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยเหลือเด็กยากจนพิเศษ ฝาบ้านไม่ครบสี่ด้าน และจะดูแลจนจบปริญญาตรี มีงานทำ


นอกจากนี้ ร้อยละ 94.5 ระบุว่า ด้านเศรษฐกิจการศึกษา โดย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กนักเรียนยากจนพิเศษมีทักษะดี มีงานทำรายได้ดี ขณะที่ร้อยละ 94.4 ระบุว่า ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้เกิดโครงการพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ร้อยละ 94.0 ระบุว่า ด้านคมนาคม รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีผลงานสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ของคนเมือง ร้อยละ 93.8 ระบุว่า ผลงานระดับโลก โดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีผลงานรับมือวิกฤตไวรัสโควิด-19 เป็นอันดับหนึ่งของโลก ร้อยละ 92.0 ระบุว่า ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีผลงานโครงการคนละครึ่ง ช่วยแก้ปัญหาปากท้อง กระตุ้นเศรษฐกิจได้ถูกจุดตรงเป้า ร้อยละ 91.7 ระบุว่า ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ควรขยายเวลา และเร่งแก้ปัญหาโครงการคนละครึ่ง ให้ดีที่สุด เช่น ขยายฐานคนมีสิทธิมากขึ้น แก้ระบบฐานข้อมูลที่ผิดพลาด ระบบขัดข้อง ร้านค้าโกงลูกค้าลดจำนวนสินค้า โก่งราคา เป็นต้น และร้อยละ 89.4 ระบุว่า ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ควรเปิดประเทศกระตุ้นท่องเที่ยวฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19




ที่น่าพิจารณา คือ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 74.7 ระบุว่า ความขัดแย้งของคนในชาติ ปัญหาบ้านเมือง ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ ขณะที่ร้อยละ 25.3 ระบุว่า ควบคุมไม่อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 90.1 ระบุว่า เห็นด้วยที่ควรมีนายกรัฐมนตรีคนกลาง ไม่สังกัดพรรคการเมือง เพื่อทำประโยชน์ให้คนทั้งประเทศมากกว่าเอื้อประโยชน์จัดสรรงบให้พื้นที่ฐานเสียงของตนเท่านั้น ขณะที่ร้อยละ 9.9 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย ที่น่าสนใจ คือ เมื่อถามถึงบุคคลที่ควรเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในสถานการณ์แบบนี้ มากที่สุด พบว่า อันดับ 1 ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 59.3 ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ ทิ้งห่างอันดับ 2 หลายเท่า คือ นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ร้อยละ 15.0 อันดับ 3 สูสีขึ้นมาเทียบใกล้เคียงอันดับ 2 คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 14.7 ตามด้วย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 7.3 และอื่นๆ เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ร้อยละ 3.7 ตามลำดับ


ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ณ เวลานี้ คนส่วนใหญ่ยังคิดว่ารัฐบาลและทุกฝ่ายช่วยกันควบคุมสถานการณ์ความขัดแย้งของคนในชาติเอาไว้ได้ และคนส่วนใหญ่ยังเห็นผลงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในด้านต่างๆ เช่น ด้านสุขภาพที่รับมือวิกฤตโควิด-19 เป็นอันดับหนึ่งของโลก ด้านคมนาคม สร้างเส้นทางต่างระดับเชื่อมภูมิภาคของประเทศ เช่น ภาคอีสานได้สำเร็จในยุคนี้ และสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ให้กับคนเมืองท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจของโลก และยังมีผลงานด้านความเสมอภาคทางการศึกษาที่ช่วยเหลือเด็กยากจนพิเศษที่ฝาบ้านไม่ครบสี่ด้านในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยช่วยเหลือตั้งแต่แรกเข้าเรียนช่วยจนไปถึงเรียนจบปริญญาตรี และมีงานทำเมื่อเรียนจบ อีกทั้งยังช่วยเหลือพ่อแม่ผู้ปกครองมีทักษะดี ให้มีงานทำ มีรายได้ดีระหว่างการศึกษา ผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เป็นต้น ส่งผลทำให้ฐานสนับสนุนของประชาชนให้ "นายกฯ ตู่ ได้ไปต่อ" ท่ามกลางคนไทยทุกคนที่มีจิตใจเป็นกลาง ไม่ใช้มิจฉาทิฏฐิต่อกัน


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กล่าวอีกว่า นายกฯ ตู่ได้ไปต่อ เพราะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากที่สุดกับสถานการณ์ของประเทศปัจจุบัน โดยนายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งได้เพราะการสนับสนุนของหลายพรรคการเมือง เสมือนนายกรัฐมนตรี ยืนอยู่บนแพลอยน้ำที่ต่อขึ้นมาจากหลายส่วน สะท้อนให้เห็นว่าสังคมการเมืองไทยมีหลายขั้ว ไม่ใช่แค่สองขั้วที่เรียกขานกันว่าเป็นพวกสลิ่มกับพวกชังชาติเท่านั้น จึงไม่ง่ายที่จะเกิดการเผชิญหน้าเหมือนบางยุคบางสมัย เพราะห้วงเวลานี้สังคมไทยมีหลายขั้วหลายกลุ่ม ดังนั้นไม่ควรมองการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ เป็นศัตรูกัน ถ้าการเคลื่อนไหวของม็อบไม่รุนแรงบานปลาย ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในสังคมที่อาจช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของคนส่วนใหญ่ภายในประเทศให้สำนึกรู้คุณแผ่นดิน ปกป้องรักษาสถาบันหลักของชาติอย่างเข้มแข็ง พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์โดยไม่หวั่นไหว แต่คนที่ทำผิดกฎหมายต้องถูกจัดการอย่างเคร่งครัดเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างจนเกิดการลอกเลียนแบบพฤติกรรมทำตามกัน จนอาจกลายเป็นโจทย์ที่ยากและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นอันตรายต่อความรักความสามัคคีของคนในชาติด้วยความหลากหลายบนแผ่นดินเดียวกัน