"อ.ปริญญา"ยก 7 เหตุผลแนะ"บิ๊กตู่"ไขก๊อกพ้นนายกฯ

2020-10-26 11:30:34

"อ.ปริญญา"ยก 7 เหตุผลแนะ"บิ๊กตู่"ไขก๊อกพ้นนายกฯ

Advertisement

"อ.ปริญญา" ยก 7 เหตุผลแนะ "บิ๊กตู่" ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ เพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 26 ต.ค. นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Prinya Thaewanarumitkul" ว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ควรต้องทำสิ่งใด แก้ไขรัฐธรรมนูญ-ยุบสภา-ลาออก เพื่อแก้ปัญหาทางการเมือง ตามที่ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอให้มีการ “ถอยคนละก้าว” เพื่อแก้ไขปัญหาการชุมนุมที่กำลังกดดันรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ โดย พล.อ.ประยุทธ์ แถลงว่า จะนำข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมเข้าสู่การหารือของรัฐสภาในวันนี้ เพื่อประโยชน์ในการ “ถอยคนละก้าว” ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ควรต้องเป็นผู้นำในการถอย ผู้เขียนมีประเด็นที่ขอนำเสนอดังต่อไปนี้ 1.การแก้ปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุ ซึ่งต้นเหตุของชุมนุม คือ การสืบทอดอำนาจของ คสช. และรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทเฉพาะกาลที่ให้ คสช.เป็นผู้เลือก ส.ว.ชุดแรกที่มีอำนาจในการเลือกนายกฯ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อ หลังจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2562 มาจนถึงปัจจุบัน หาก คสช.ไม่สืบทอดอำนาจก็จะไม่มีการประท้วงหรือการชุมนุมเช่นนี้ การชุมนุมถ้าหากมีก็จะเป็นเรื่องอื่น และจะเป็นการประท้วงนายกรัฐมนตรี คนอื่นที่ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์

การที่คณะรัฐประหารมีอำนาจเลือก ส.ว.ชุดแรกตามรัฐธรรมนูญใหม่นั้น เป็นเรื่องที่คณะรัฐประหารทำมาแทบทุกยุคทุกสมัย แต่ไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับใดให้ ส.ว.ที่มาจากคณะรัฐประหาร มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี มาก่อนเลย ดังนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ ควรต้องถอยเป็นก้าวแรก คือ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการถอยไปก่อนหน้าการยึดอำนาจ 22 พ.ค.2557 ที่รัฐธรรมนูญให้สภาผู้แทนราษฏรเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหลักการของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่ประชาชนเลือกนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลผ่านการเลือก ส.ส. โดยประชาชนทุกคนมีเสียงเท่ากัน ไม่ว่าจะเห็นต่างกันเพียงใด ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคการเมืองไหนจะเป็นรัฐบาล จะจบที่หีบบัตรเลือกตั้ง ไม่ใช่ประชาชนเลือกตั้งไป คสช.ก็เป็นนายกรัฐมนตรีและสืบทอดอำนาจได้อยู่ดีเช่นนี้




ในปี 2534 คณะรัฐประหารในชื่อคล้ายคลึงกัน คือ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. เคยถอยในเรื่องนี้มาแล้วด้วยการตัดอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ออกไปจากร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 เมื่อมีนิสิตนักศึกษาประท้วงต่อต้านในขณะนั้น ซึ่งในขณะนี้มีคนประท้วงเรื่องนี้มากกว่าในปี 2534 แล้ว คสช.ก็ควรต้องถอยเรื่องอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี เช่นกัน ซึ่งจะเป็นสัญญาณว่า คสช.จะยุติการสืบทอดอำนาจ และจะทำให้สถานการณ์เขม็งตึงทางการเมืองคลายออก และจะนำมาสู่การสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาระยะยาวโดยวิถีทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพิจารณาเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การร่างใหม่ทั้งฉบับต่อไป

2. รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เป็น รัฐธรรมนูญที่มีคนต่อต้านไม่น้อยกว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 ไปแล้ว รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 นั้นนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดในเดือนพฤษภาคม 2535 หลังเหตุการณ์นองเลือดต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และนำไปสู่การร่างใหม่ทั้งฉบับ เกิดเป็นรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ในเวลาต่อมา รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ซึ่งมีที่มาจากการยึดอำนาจเหมือนกัน แต่มีปัญหามากกว่าด้วยซ้ำ เพราะในปี 2534 ยังไม่มีองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ที่คณะรัฐประหารจะไปยุ่งเกี่ยวกับการสรรหาได้ดังเช่นในปัจจุบันนี้ องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ นั้น เริ่มเกิดในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 โดยให้วุฒิสภาที่ประชาชนเลือกโดยตรงเป็นผู้เลือกองค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่พอรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ให้ ส.ว.ชุดแรกมาจาก คสช. โดยมีอำนาจเหมือน ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งคือให้ความเห็นชอบองค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็ทำให้ คสช. ไปเกี่ยวข้องกับการสรรหาโดยผ่าน ส.ว. และเกิดปัญหาเรื่องการตรวจสอบและความเชื่อถือที่มีต่อองค์กรอิสระ ความจริงเรื่องนี้เป็นปัญหามาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ของ คสช. ที่ให้ สนช.เป็นผู้ให้ความเห็นชอบองค์กรอิสระแล้ว ซึ่งถ้าจะกล่าวว่า ส.ว.ชุดแรก คือ สนช.แปลงร่างมา ก็ไม่ผิดความจริงไปนัก



นอกจากนี้แล้วรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ยังเป็นรัฐธรรมนูญที่มีการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศไปถึง 20 ปี โดยไม่มีการมีส่วนร่วมของประชาชนเลย รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 จึงมีปัญหายิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 ที่สุดท้ายต้องร่างใหม่ทั้งฉบับ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่มีปัญหายิ่งกว่าจึงน่าจะหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องมีการร่างใหม่ทั้งฉบับเช่นกัน และควรทำโดยที่ไม่ต้องให้มีการนองเลือดก่อน สำหรับประเด็นที่มีการให้เหตุผลว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ผ่านการลงประชามติ จึงไม่อาจแก้ไขหรือร่างใหม่ เป็นเหตุผลที่ไม่มีน้ำหนักแต่ประการใด เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มีผู้ออกเสียงให้ผ่านเพียง 61 % และคำถามพ่วงที่ทำให้ ส.ว.ชุดแรกมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี ก็ผ่านด้วยคะแนนเพียง 57 % เท่านั้น ถามว่าในขณะนั้นประชาชนที่ลงคะแนนเห็นชอบ ที่ไม่ได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญ แต่ออกเสียงรับร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการเลือกตั้งและบ้านเมืองเดินหน้าต่อ มีมากกว่า 11 % หรือไม่ ซึ่งเป็นไปได้มาก เพราะมิได้มีการกำหนดไว้ว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ผ่านประชามติแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปและจะมีการเลือกตั้งเมื่อใด และที่สำคัญรัฐธรรมนูญนั้นแก้ไขได้ และร่างใหม่ได้ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ก็ผ่านประชามติ คสช.ยังฉีกทิ้งได้โดยไม่สนใจว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติมาแล้วเลย

3. การยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ นั้น เป็นทางออกทางหนึ่ง เพราะจะเป็นทางลงให้พลเอกประยุทธ์ได้ ทั้งนี้โดยต้องไม่รับเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองใดอีก แต่ปัญหาคือถ้ายุบสภาอย่างเดียวผู้คนจะยังไม่วางใจว่า คสช.จะยุติการสืบทอดอำนาจจริงๆ เพราะตราบใดที่ ส.ว.ชุดแรกยังมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี คสช.ก็ยังกลับมามีอำนาจใหม่ได้ ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญตัดอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรีจึงเป็นเรื่องเฉพาะหน้าที่ควร “ถอย” เป็นการเร่งด่วน แม้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องใช้เสียงอย่างน้อย 1 ใน 3 ของ ส.ว. คือ 84 เสียงจาก 250 เสียง และยากที่ ส.ว.จะแก้รัฐธรรมนูญตัดอำนาจตนเอง แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ยอมที่จะแก้ไขเรื่องนี้ เชื่อว่าจำนวน ส.ว.84 เสียงไม่ใช่เรื่องยากแต่ประการใดแม้แต่น้อย

4. การลาออกจากตำแหน่ง ก็เป็นหนทางคลี่คลายสถานการณ์ได้ เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องการถอยด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือยุบสภา ก็อาจต้องถอยให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าจะใช้รัฐสภาเป็นเวทีแก้ปัญหา ไม่ควรเป็นเพียงการโยนปัญหาออกไปจากตัว และให้รัฐสภาถกเถียงกันโดยไม่เกิดการแก้ปัญหาอะไร เพราะผู้ชุมนุมประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ มิใช่ประท้วงรัฐสภา และที่สำคัญที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนและมีเสียงทั้งหมดในวุฒิสภา จึงสามารถใช้รัฐสภาในการแก้ปัญหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5. นอกจากนี้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยึดมั่นหลักการนี้และปกป้องสถาบัน ด้วยการออกหน้าและรับผิดชอบ ไม่ใช่ทำในสิ่งที่ดูเหมือนกันตรงกันข้ามอย่างทุกวันนี้ ซึ่งเป็นการทำให้ประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐบาลขัดแย้งกับสถาบัน และประชาชนที่เห็นต่างกันขัดแย้งกัน และที่สำคัญ คือ พล.อ.เประยุทธ์ ต้องแก้ปัญหาในทางการเมืองโดยเร็วที่สุด เพื่อมิให้สถานการณ์ลุกลามมากไปกว่านี้



6. พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ลืมไปแล้วว่า ท่านเป็น ผบ.ทบ.ในขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกประท้วงให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และท่านได้ยึดอำนาจ ซึ่งทำให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี มาจนถึงทุกวันนี้ ในวันนั้นท่านสัญญากับประชาชนไว้ว่า ขอเวลาอีกไม่นานความสุขจะคืนมา บัดนี้เวลาผ่านไป 6 ปีแล้ว เราก็ยังไม่เห็นความสุขที่กลับคืนมา นอกจากรัฐธรรมนูญที่สืบทอดอำนาจ การตรวจสอบถ่วงดุลที่แย่ลง ความขัดแย้งในสังคมในเรื่องสถาบัน และการกลับมามีการประท้วงขับไล่นายกรัฐมนตรี อีกครั้ง โดยที่วันนี้ท่านเป็นผู้ถูกประท้วงเอง ระยะเวลา 6 ปีนั้นยาวนานกว่าอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และแม้กระทั่งอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ไปแล้ว แม้ว่ารัฐบาลจะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฏรแบบไม่ปริ่มน้ำแล้ว และมีเสียงในวุฒิสภาทั้งหมด แต่รัฐบาลไม่ได้มีเสถียรภาพมากอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะเสียงข้างมากในสภาผู้แทนเป็นเสียงข้างมากแบบมีความง่อนแง่น เนื่องจากหากมีพรรคขนาดกลางพรรคหนึ่งพรรคใดถอนตัว ก็มีเพียงพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลที่เป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีเสียงมากพอที่จะไปเสียบแทนได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ที่พรรคหนึ่งพรรคใดในสองพรรคนี้จะไปร่วมรัฐบาลกับท่าน และโดยที่โอกาสที่จะมีพรรคถอนตัวก็มีความเป็นไปได้สูงขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคที่ให้เหตุผลในการยกมือให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีว่า เข้าร่วมรัฐบาลเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะพรรคการเมืองนั้นจะถูกผู้ชุมนุมเรียกร้องกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ จนนำมาสู่การถอนตัวได้ ซึ่งเป็นโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่ช้าข้างหน้านี้ ท่านจึงควรต้องรีบแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่เกิดมาจากการสืบทอดอำนาจ คือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภาหรือลาออก ดังที่ท่านอาจจะได้เคยแนะนำอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์เมื่อ 6 ปีที่แล้ว และดังที่ท่านสัญญากับประชาชนไว้ว่า ‘เราจะทำตามสัญญา ความสุขจะกลับคืนมา’ ก่อนที่สถานการณ์จะกลายไปเป็นวิกฤตการณ์จนไม่มีทางออก และประชาชนจะมีความทุกข์จากความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นอีกครั้งมากไปกว่านี้

7. ท้ายที่สุดนี้เรื่องสำคัญที่เป็นเรื่องเฉพาะหน้าคือ รัฐบาลต้องไม่ใช้ความรุนแรงและไม่ใช้วิธีการสลายการชุมนุมอีก หากการชุมนุมเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการต่อต้านดังเช่นที่เกิดหลังจากการสลายการชุมนุมที่ปทุมวันในวันที่ 16 ตุลาคม 2563 ที่สำคัญคือรัฐบาลต้องมองว่าผู้ชุมนุมเพียงแค่มาทวงสัญญาที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้สัญญาไว้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ความรุนแรงจะไม่เกิดถ้าไม่มีฝ่ายใดเริ่มก่อน ในฐานะที่ประเทศไทยมีบทเรียนเรื่องการนองเลือดมามากแล้ว เราไม่ควรเกิดเหตุการณ์รุนแรงอีก ซึ่งเราสามารถทำได้โดยใช้กระบวนการประชาธิปไตยในการแก้ไขปัญหา รับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน และเคารพความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เราก็จะสามารถผ่านวิกฤตการณ์ และแก้ปัญหาการเมือง และแก้ไขรัฐธรรมนูญได้โดยไม่เกิดเหตุการณ์นองเลือดอีก