การเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร ในรัชกาลที่ ๙ วาระที่ฟ้าโน้มลงมาพบดิน

2017-10-18 17:30:40

การเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร ในรัชกาลที่ ๙ วาระที่ฟ้าโน้มลงมาพบดิน

Advertisement

ตลอดจนชั่วชีวิต คงมีเพียงไม่กี่ครั้ง หรือวาระที่ประชาชนคนสามัญจะมีโอกาสได้พบกับพระเจ้าแผ่นดิน หรือพระบรมวงศานุวงศ์อย่างใกล้ชิด การเสด็จออกมหาสมาคม เป็นพระราชพิธีที่พระมหากษัตริย์เสด็จออกที่ประชุมใหญ่จึงถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและหาได้ยากที่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้พสกนิกรได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท นอกเหนือจากการได้ชื่นชมพระบารมีผ่านทางสื่อต่างๆ เท่านั้น


ภาพ PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP

สำหรับรัชกาลของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีการเสด็จออกมหาสมาคม มีการเสด็จออกมหาสมาคม ทั้งเป็นพระราชพิธีประจำปี และพระราชพิธีในโอกาสพิเศษในสถานที่ที่แตกต่างกันออกไป

สถานที่หนึ่งซึ่งยังคงอยู่ในความทรงจำและความประทับใจของประชาชนรุ่นแล้วรุ่นเล่าก็คือ การเสด็จออก ณ สีหบัญชร ที่แปลตรงตัวได้ว่า “หน้าต่างที่มีสัญฐานประดุจกรงเล็บแห่งสิงห์” แต่ในที่นี้หมายถึง หน้าต่างสำหรับพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกให้เฝ้าในโอกาสสำคัญ หรือใช้ในการว่าราชการ ซึ่งสีหบัญชรที่สำคัญมีด้วยกัน ๓ แห่ง คือ
๑. สีหบัญชรภายในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ภายในพระบรมมหาราชวัง
๒. สีหบัญชรภายในพระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท พระบรมมหาราชวัง



๓. สีหบัญชรภายในพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต

โดยในรัชสมัยของในหลวง รัชกาลที่ ๙ นั้น พระองค์มีการเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร ทั้งหมด ๖ ครั้ง ดังต่อไปนี้





พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เวลา ๑๗.๐๐ น.
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จออก ณ สีหบัญชร เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๙ รวมทั้งเป็นการเสด็จออกมหาสมาคมต่อหน้าพสกนิกรครั้งแรกของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท พระบรมมหาราชวัง




ทรงแจ้งพระราชดำริในการเสด็จออกบรรพชาอุปสมบท
๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท พระบรมมหาราชวัง



มีพระราชดำรัส ใจความสำคัญว่า
“ข้าพเจ้าขอแถลงดำริ ที่จะบรรพชาอุปสมบทในพระศาสนาให้ทราบ โดยที่พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติของเรา ทั้งตามความศรัทธาเชื่อมั่นของข้าพเจ้าเอง ก็เห็นเป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่ง เนื่องในบรรดาสัจธรรมคำสั่งสอน อันชอบด้วยเหตุผล จึ่งเคยคิดอยู่ว่าถ้าโอกาสอำนวย ข้าพเจ้าควรจักได้บวชสักเวลาหนึ่ง ตามราชประเพณี”




งานสมโภชเนื่องในการเสด็จนิวัติพระนคร หลังจากทรงเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรป
๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ณิ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต
มีพระราชดำรัส ความตอนหนึ่งว่า



“ประเทศไหน ประชาชนพลเมืองมีความสามัคคีกลมเกลียวกันดี มีระเบียบวินัยดี ประเทศนั้นก็เจริญ และอยู่ในฐานะดี ยิ่งมีความสมัครสมานกลมเกลียวกันมาก ก็ยิ่งเจริญมาก จึงเห็นได้ว่า ความสามัคคีกลมเกลียวกัน ในระหว่างคนในชาติ และความเข้าใจรักษาระเบียบวินัยนี้ ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่ง ที่จะช่วยนำประเทศชาติ สู่ความวัฒนาถาวร”

ภาพ PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP

พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต
มีพระราชดำรัส ความตอนหนึ่งว่า
“คนที่มีไมตรีต่อกัน จะคิดอะไร ก็คิดแต่ในทางสร้างสรรค์ ที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลกัน จะพูดอะไร ก็ใช้เหตุผลเจรจากัน ด้วยความเข้าอกเข้าใจกัน จะทำอะไร ก็ช่วยเหลือร่วมมือกัน ด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน”


ภาพ AFP / ROYAL PALACE

พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี



๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เวลา ๑๑.๓๐ น. ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต
มีพระราชดำรัส ความตอนหนึ่งว่า
“จึงขอให้ท่านทั้งหลายในมหาสมาคมนี้ ทั้งประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ได้รักษาจิตใจและคุณธรรมนี้ไว้ให้เหนียวแน่น และถ่ายทอดความคิด จิตใจนี้กันต่อไปอย่าให้ขาดสาย เพื่อให้ประเทศชาติของเราดำรงยืนยงอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ทั้งในปัจจุบันและในภายหน้า”


ภาพ CHRISTOPHE ARCHAMBAULT / AFP

พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๕ พรรษา พุทธศักราช ๒๕๕๕
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต
เป็นการเสด็จออกมหาสมาคมต่อหน้าพสกนิกรครั้งสุดท้ายของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า
“ความเมตตาปรารถนาดีต่อกันนี้ เป็นปัจจัยอย่างสำคัญ ที่จะยังความพร้อมเพรียงให้เกิดมีขึ้น ทั้งในหมู่คณะและในชาติบ้านเมือง และถ้าคนไทยเรา ยังมีคุณธรรมข้อนี้ประจำอยู่ในจิตใจ ก็มีความหวังได้ว่า บ้านเมืองไทย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ๆ ก็จะอยู่รอดปลอดภัย และดำรงความมั่นคงต่อไปได้ ตลอดรอดฝั่งอย่างแน่นอน”

หมายเหตุ
สำหรับ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ และ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ นั้นเป็นเสด็จออก ณ มุขเด็จ เพียง ๒ ครั้งในรัชกาลที่ ๙