กสทช.ขอความร่วมมือผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัลระมัดระวังการนำเสนอข่าวสารในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะถ่ายทอดสดให้คำนึงถึงกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องสถาบ้นต้องมีการกลั่นกรอง
เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ที่ สำนักงาน กสทช. พล.ท.ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ กสทช. ประธานอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ กล่าวภายหลังประชุมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการนำเสนอเนื้อหารายการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้กับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล 19 ช่อง ว่า ได้ขอความร่วมมือและให้ระมัดระวังการนำเสนอข่าวสาร โดยเฉพาะการถ่ายทอดสด ใช้คลิปต่าง ๆให้คำนึงถึงกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสถาบัน ต้องมีการกลั่นกรอง ระมัดระวังการออกอากาศ
พล.ท.ดร.พีระพงษ์ ม กล่าวต่อว่า การลงโทษ ไม่ใช่หลักคิดของ กสทช. ส่วนตัวมองว่าสื่อเก่า คือโทรทัศน์ภาคพื้นดินมีข้อดีคือมีการส่งคนออกไปหาข่าว ได้ข่าวมามีการกรั่นกรอง ตรวจสอบความถูกต้อง เนื้อหาที่ออกอากาศมักจะมีความถูกต้อง ขณะที่สื่อใหม่ ใครก็ส่งข่าวได้ อันนี้ไม่ได้มองเขาแง่ลบ โดยธรรมชาติของสื่อเก่าไม่น่าจะมีปัญหา ที่ผ่านมามีแค่ความผิดพลาดเป็นฮิวแมนเออเร่อบ้าง ก่อนการชุมนุม มาจนถึงวันนี้ ยังไม่เคยตรวจพบความผิดพลาดในมิติการเมืองเลย มีแต่ปัญหาเรื่องทางสังคม ละคร การโฆษณาที่มีปัญหามาก เรื่องการเมืองไม่เคยเรียกใครมาชี้แจง แต่ละช่องมีพัฒนาการ และมีวุฒิภาวะอยู่แล้ว ทรทัศน์ภาคพื้นดินมีปัญหาน้อยมาก แต่ถ้าออนไลน์ใครก็เป็นนักข่าวได้ แต่ถ้าจะเอาเนื้อหาออนไลน์มาออกในสถานีต้องตรวจสอบเนื้อหาก่อน
"การไลฟ์สดมีข้อต้องระวัง จริง ๆไม่ควรสดมาก ควรจะดีเลย์สัก 1 นาทีเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เพราะการไลฟ์สด คนที่อยู่ข้างใน เช่น บก.ข่าวจะต้องคอยตรวจสอบ อย่างการไปรายงานสดยืนข้างผู้ชุมนุมแล้วมีการกล่าวถ้อยคำที่ไปกระทบกระเทียบต่าง ๆ เช่น คุณไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแล้วคนได้ยินเป็นแสนเป็นล้านคน ความเสียหายเป็นแสนเท่า ให้ใช้หลักคิดนี้ "พล.ท.ดร.พีระพงษ์ กล่าว