ตู่-มาวิน คู่รักมาราธอนใช้เวลา 10 ปี พิสูจน์รักแท้ฝ่าอุปสรรค

2020-10-06 09:55:47

ตู่-มาวิน คู่รักมาราธอนใช้เวลา 10 ปี พิสูจน์รักแท้ฝ่าอุปสรรค

Advertisement

เรียกว่าเป็นอีกคู่รักที่คบกันมายาวนานถึง 10 ปี สำหรับผู้จัดละครคนสวย "ตู่ ปิยวดี มาลีนนท์" กับนักแสดงหนุ่ม "วิน มาวิน ทวีผล" โดยระหว่างที่คบกันทั้งคู่ต้องเจอกับกระแสสบประมาทต่างๆนานา แต่ในที่สุดก็ฝ่าฟันกันมาจนถึงวันที่ใกล้จะแต่งงาน ล่าสุดทั้งคู่ที่ได้มาเยือนเป็นแขกรับเชิญในรายการ Club Friday Show พร้อมเปิดใจถึงเส้นทางรักที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแบบหมดเปลือกว่า



ตู่นับเป็นหัวใจของคนที่บ้าน พอมีข่าวนี้ออกมาที่เราคบกันกับมาวิน มีแรงกระทบมาจากครอบครัวไหม ?

มีค่ะ ที่บ้านก็เรียกไปคุยว่าจริงหรือเปล่า คบกันจริงหรือเปล่า แต่ที่บ้านไม่เคยมีใครคบกับคนในวงการเลย ส่วนมากเป็นคนที่อยู่นอกวงการหมด เรานี่เป็นผู้บุกเบิกเลยสิ่งนี้ให้กับที่บ้านเลย เพราะก่อนที่เขาจะมาจีบคือไม่มีคนในวงการมาจีบเราเลย พอมีข่าวว่าเขามาจีบมีดารามาจีบเราเยอะมาก เพื่อนของเขาก็มาจีบค่ะ คงเพราะก่อนนั้นเขาอาจจะไม่กล้า



มาวิน : เหมือนที่ผมพูดผมเหมือนมาปลดล็อคเขาจริงๆ แต่ตอนนั้นเขาก็บอกผมครับว่ามีใครมาจีบเขาบ้าง

ตู่ : เพราะอย่างที่เราบอกว่าเราสลับอะไรแบบนี้ไม่เป็น แล้วพอมีเพื่อนเขาส่งข้อความมาถามว่าหลับแล้วหรือยัง เราอยู่กับเขาพอดีเราก็เอาให้เขาดูว่าเพื่อนเธอถามว่าฉันหลับหรือยัง



มาวิน : ช่วงนั้นคือ คู่แข่งเยอะมาก แต่ผมก็บอกเขาอยู่เสมอว่าสิทธิ์ในการเลือกอยู่ที่เขา ผมเลือกที่จะเข้ามาให้เขาเลือกเอง ถ้าเขาเลือกผมคือ โชคดี ถ้าเขาเลือกคนอื่นผมก็ยินดีด้วย เพราะผมบอกว่าผมเป็นใคร เขาเป็นใคร จะให้ผมมานั่งหึงหวงเขาไม่ใช่ ผมต้องเจียมตัว

ตู่ : แต่ก็มีช่วงลองคุยนะคะ 5 คน แต่เรารู้สึกเหนื่อยมากๆเลย แล้วเราก็ไม่ได้ปิดด้วยนะคะ ว่าเราคุยกับหลายคนแต่เรารู้สึกว่ากว่าจะคุยวนมาจนครบทุกคนเรารู้สึกว่าชีวิตเราทำไมเหนื่อยแบบนี้ เราเลยตัดสินใจบอกอีก 4 คนว่าเราตัดสินใจว่าเราจะคุยกับคนนี้แล้ว

ตู่ : แต่เราก็คบกันแบบเงียบๆนะคะ เพราะ 8 ปีแรกที่บ้านไม่ถามถึงเขาเลยสักคำ ที่บ้านทำเหมือนเราโสด เหมือนเราไม่มีแฟน เหมือนเราไม่ได้มีเขา เขารู้แต่เขาไม่พูด





การไม่พูดเหมือนกับการไม่ยอมรับหรือเปล่า ?

มาวิน : ใช่ครับ เขาไม่ยอมรับครับ ชัดเจนเลย

ตู่ : ใช่ค่ะ เขาไม่ได้ห้าม แต่เขาไม่ถามถึง ไม่พูด ไม่ชวนไปกินข้าว ทริปครอบครัวไม่มี ถามว่าเราอึดอัดไหมที่เราต้องอยู่ตรงกลาง ต้องบอกว่ายังดีที่เขาเข้าใจด้วย ว่ามันเป็นไปได้ เพราะตอนนั้นข่าวที่ออกมาเกี่ยวกับเขามันแรงด้วยเขาก็เข้าใจว่าที่บ้านคงต้องใช้เวลา

เวลาที่เราคุยกันใน Club Friday จะมีอยู่อย่างหนึ่งในดาราที่ความรักจะเดินหน้าคือ เรื่องฐานะ แล้วในวันที่เกิดวิกฤติตอนนั้นเราคิดยังไงบ้าง ?



ตู่ : คือต้องบอกว่าตอนนั้นมันลุ่มๆดอนๆมาก คือบางทีมันก็สู้ บางทีมันก็ท้อ เวลามันไม่มีคือไม่มีจริงๆเขานะคะ ไม่มีจนถึงขนาดที่ตู่ต้องกำหนดให้เขาเลยว่าวันหนึ่งเขาต้องใช้เงินเท่าไหร่ แล้วเธอใช้เงินเท่านี้ต่อวัน เงินในบัญชีที่เธอมีอยู่ เธอจะอยู่ไปได้เท่านี้ แล้วในระยะเวลาเท่านี้เธอต้องคิดทำอะไรให้ได้เพื่อให้มีเงินให้ได้ อย่างตอนนั้นตู่ถามว่าเธอมีทรัพย์สินอะไรบ้าง เขามีคอนโด ตู่บอกขายเลย เอาเงินมาก่อนเพราะเราไม่รู้ว่าจะมีงานเข้ามาเมื่อไหร่ ระหว่างนั้นเราก็เอาเงินที่ขายคอนโดมาพยายามตั้งหลักในช่วงนั้น

หลายๆคนบอกว่าไม่เป็นไรเป็นแฟนกันให้กันได้ ตู่มีมากกว่าอยู่แล้ว เคยคิดไหมไม่เป็นไรเดี๋ยวเราช่วย? 

ตู่ : คือตู่คิดว่าถ้าเขาจะดูแลชีวิตเรา ตู่บอกเขาว่าไม่ต้องดูแลตู่ก็ได้เพราะเราแค่เอาเงินต้องนี้ไปโยกฝากที่นี่ ดอกเบี้ยนู้นนี่  เราก็มีเงินใช้แล้ว แต่อย่างเขามันยากกว่าเรา เราบอกเขาว่าขอให้เขาดูแลตัวเองได้แค่นั้น ส่วนเราก็ดูแลตัวเองเช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องให้เขามาดูแลให้เขามาให้เงินเดือนเรา ทุกวันนี้เราหารครึ่งทุกอย่างค่ะ กินข้าวก็หารครึ่ง จริงๆบางคนจะคิดว่าตู่เป็นคนออก แต่จริงๆเราจะมีเงินกองกลาง ตู่จะเป็นคนถือพอไปกินข้าวเราก็จ่าย แต่จริงๆแล้วไม่ใช่มันเป็นเงินของเราสองคน  ช่วงแรกๆที่เราคบกันไม่ได้ไปกินข้าวกับเพื่อนเลยเพราะว่าเขาจ่ายไม่ไหว อย่างเวลาเราไปกินข้าวกับเพื่อนที 2-3 พัน แล้วเรารู้ว่าเขาจ่ายไม่ไหวเพราะเขาใช้ได้วันละ 2-3 ร้อยเอง เพราะอย่างที่บอกเราไม่ได้จ่ายให้เขา และถ้าเขาไปเขาก็จะอึดอัดทุกคนจะอึดอัดเราเลยรู้สึกว่าถ้าพร้อมเดี๋ยวค่อยไป ก็ 2 ปีที่ไม่ได้ไปทานข้าวกับเพื่อนเลย และเมื่อเขาพร้อมเขาเข้ามาในสังคมเพื่อนเราเพื่อนทุกคนคือรักเขามาก เพราะเขาเป็นคนที่ชอบเล่าเรื่องและทุกคนก็ฟังเขา เวลาที่เขาไม่ไปมันเหมือนวงสนทนามันเงียบไปเลย



เคยมีสักครั้งไหมที่จะยอมแพ้ ?



ตู่ : ตู่ไม่เคยมีความคิดที่จะยอมแพ้นะคะ

มาวิน : ผมก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้ครับ

ตู่ : แต่ตู่จะกดดันเขาหนักมาก ทุกวิธี บางทีด่าเขาจนแบบ ให้เขาเดินให้ได้สักที

เพราะเราเป็นคนทำงานหนักมาก มาวิน เลยหาตัวช่วยแก้เครียดมาให้คือแมว ?

ตู่ : (หัวเราะ) คือ ตอนนั้นเขาไม่มีงาน เพราะจากคนที่มีงานเดินแบบทุกวัน แล้วพอไม่มีงานเขาก็อยู่บ้านเขาก็ฟุ้งซ่าน แล้วก็เครียด และวันๆก็รอว่าตู่ประชุมแล้วก็มาหาเขา คนที่ไม่มีงาน ไม่มีเงิน มันเครียดจริงๆนะคะ คือน้ำตาไหล แล้วเขาก็ไม่ได้ขอเงินที่บ้านด้วย พอเขาเครียดเราก็บอกเขาว่าเธอชอบอะไร เขาก็บอกว่าเขาชอบแมว ตู่ซื้อแมวเลยค่ะ เธอเลี้ยง เขาบอกว่าเขาเคยประกวดได้ Grand Champion เราก็บอกเขาว่านี่คือ แมวของฉันนะ งั้นเธอก็เลี้ยงแมวตัวนี้ให้ได้ Grand Champion คือ ตอนนั้นเราแค่รู้สึกว่าอยากหาอะไรให้เขาทำก็เลยซื้อแมวมา 2 ตัว

มาวิน : แล้วทั้งคู่ก็ได้ถ้วยพระราชทาน ตัวหนึ่งเป็นแชมป์เอเชียเลย เราก็ศึกษาจริงๆทั้งในเรื่องการกิน การอยู่ การใช้ชีวิตกับเขาทั้งสองตัว ตอนนั้นกลายเป็นแมวพลิกชีวิตอีกครั้ง คือแมวงานเยอะมาก ผมไม่มีเลยนะครับ แต่แมวงานชุกมาก เป็นพรีเซนเตอร์อาหารแมว เรียกว่าแมวพลิกชีวิต แมวดูแลเราด้วยผมนี่ให้แมวเลี้ยงมา 5 ปี เลยนะครับ (หัวเราะ)

ตู่ : ก่อนที่เราจะเลี้ยงแมว เคยนั่งมองหน้ากันแล้วเขาก็น้ำตาไหล เพราะคิดไม่ออกว่าจะไปทางไหน อย่างตู่เราโตมาในครอบครัวนักธุรกิจ เราก็จะคิด ทำอะไรๆแต่เขาโตมาแบบตั้งแต่เด็กๆเขาก็จะเป็นนายแบบตั้งแต่เอแบค มีคนมาจ้างทำ คือเขาไม่เคยคิดทำธุรกิจ ลงทุน

แล้วมีสักครั้ง หรือ มุมหนึ่งไหมที่โกรธคนที่แฉ เข้ามาคว่ำชีวิตเราวันนั้นไหม ?

มาวิน : ณ วันนั้นโกรธครับ แต่ ณ วันนี้ต้องขอบคุณเขา ถ้าไม่มีวันนั้นก็ไม่มีวันนี้

ตู่ : ตู่ว่าบางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเขา ทำให้เขาเหมือนเจอปัญหาอะไร ตอนนี้กลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว

มาวิน : บางสิ่งบางอย่างที่ทำบางครั้งอาจจะทำเพื่อความสะใจ แต่ไม่รู้เลยว่าอาจจะทำให้คนหนึ่งเกือบตายเหมือนกัน

ตัวมาวินรู้ไหมว่าใน 8 ปี ที่ครอบครัวเขาไม่ถามถึงเราเลยแปลว่าเขาอาจจะมีอะไรในบางมุมแรกที่ไม่ยอมรับ ?

มาวิน : ผมเชื่อว่าจะมาให้รับคนอย่างผมมันยากอยู่ครับ เรารู้ตัวทุกอย่างเลย รู้สถานะตัวเอง เราเจียมตัวเองเลยครับ รู้ว่าเขาเป็นใคร เราเป็นใคร ผมแค่ได้เขามาก็ดีใจแล้ว ผมไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเขาเลยบอกเขาแบบนี้เสมอ แม้กระทั่งไปดูหนังหรือไปกินข้าวกัน ถ้าที่บ้านโทรมา ตู่ไปกินข้าวที่บ้านเรายกเลิกหมดเลย ไปกับที่บ้านก่อนแล้วเราค่อยมาเจอกัน ค่อยนัดกันวันหลังให้ที่บ้านเป็นอันดับหนึ่งของเขาไปเลย ไม่มีน้อยใจเลยครับ เราดีใจด้วยซ้ำที่เขาไปอยู่ข้างๆโกนะ ไปอยู่กับม๊าๆนะ ถึงที่บ้านจะไม่ยอมรับเราแต่เราได้อยู่ข้างๆกัน เขาอยู่ข้างผม ผมอยู่ข้างๆเขาแบบนี้ผมดีใจมากแล้วครับ เราร้องไห้ด้วยกันหลายครั้งมาก ผมกลัวเขาทิ้งผมนะ

แต่ก็มีเหตุการณ์ที่เหมือนฟ้าเปิดเพราะที่บ้านอยู่ๆเอ่ยถึงชื่อมาวินขึ้นมาเกิดอะไรขึ้น ?

มาวิน : สุดท้ายวันของผมก็มาฟ้าก็เปิดสักที (ยิ้มๆ) ไปงาน Outing กับบริษัทของตู่ พี่ลีน เขาเอาลูกไปด้วยตอนนั้นเขาอายุ 6 ขวบ ก็ได้เล่นเกมส์กับเขาแต่เราโตกว่าเราเลยเล่นสกิลสูงกว่าเขาหลานเลยติดเบรธ คือติดมากตอนนั้นเดินตามเป็นลูกเป็ดเลย พอหลังกลับจาก Outing หลานก็ถามถึงเราบ่อยพูดชื่อเราบ่อย อย่างไปเที่ยวหลานก็จะบอกว่าอยากให้อาวินมาด้วยจังจะได้มาเป็นเพื่อนเล่นกับเบรธ ก็เลยสนิทกันมากกับหลานจนตอนนี้เขาเป็นหนุ่มแล้วก็ยังสนิทซี้กันเลย

ตู่ : ที่บ้านก็จะได้ยินชื่อเขาตลอดเวลา พอได้ยินชื่อบ่อยๆตรุษจีนปีหนึ่งค่ะ ลองชวนเขามากินข้าวกับที่บ้านไหม เราก็บอกเขาว่าพี่สาวฉันชวนเธอไปกินข้าวที่บ้าน

มาวิน : ตอนนั้นเราบอกว่าจริงเหรอ กลัวๆๆ เพราะว่ารวมญาติ ทุกโต๊ะคือ มาลีนนท์ ผมไม่รู้จะอยู่ตรงไหน ตอนนั้นไม่ได้เตรียมตัวเลยครับแต่ใส่เสื้อสีแดงเข้าใส่อย่างเดียวเลย พอไปแล้วเราสวัสดีทุกคนเรียบร้อยก็นั่งที่โต๊ะไม่กล้าลุกอีกเลย ไม่กล้าคุยกับใครเลย กินของที่โต๊ะไม่เหลือเลย

ตู่ : แต่วันนั้นกลายเป็นเรื่องที่บ้านพูดกันว่ามาวินมันกินได้ขนาดนี้เลยเหรอ (หัวเราะ) แต่พอหลังๆจากที่หลานถามถึงกลายเป็นแม่เริ่มถามแม่เริ่มชวนเขามาสิ ปกติที่บ้านจะกินข้าวด้วยกันทุกวันอาทิตย์ค่ะ แม่ก็บอกว่าชวนเขามาสิ เกาหลีไม่มาเหรอ



การเตรียมการที่จะเขาแต่งงานเตรียมยังไงบ้าง ?

มาวิน : ผมเป็นคนที่เซอร์ไพรส์อะไรไม่เป็นเลยครับ เพราะคบเขา ผมจะไม่โกหก ไอจี หรืออะไรต่างๆของผม เขามีพาสเวิร์ดหมดคือ ผมจะขยับตัวยากมาก กลางคืนจะมีเวลาอยู่บ้านก็มันมีเวลาไม่พอเตรียมตัว โชคดีครับไปถ่ายซีรีส์แล้วต้องไปหัวหิน 5 วัน 5 วันแห่งการเตรียมการ ลูกพี่เราเขาเป็นคนจัดการเตรียมการ แต่เพื่อนอีก 50 คนรออยู่ในห้อง VIP คือ ทุกคนที่อดทนรอไม่ออกไปไหนเลยอยู่ในห้องนั้น ผมนี่มือเย็น หน้าไม่นิ่งไปหมด แต่พอเขามาเราก็ต้องเก็บอาการ

มาวิน : พอกล่องมาวางปุ๊บ เปิดออกมาสิ่งแรกที่ผมมองก่อนเลยคือ แหวนอยู่ไหน มองไม่เห็นเลยเราก็นึกในใจเอาแล้ว แล้วตู่ เขาก็ทักเราอีกว่าทำไมมือต้องสั่น เราก็เรียกเชฟมานี่ปลาอะไร (ใจจริงๆจะถามว่าแหวนอยู่ไหน) แต่เชฟป้อมก็ตอบจริงจังไปอีกแนะนำปลาไปอีก คือตอนนั้นที่เรากินปลาคือ ไม่รู้รสชาติอะไรล่ะ ห่วงแต่แหวน เราเลยเอามือลงไปจวกแหวนใส่สาหร่ายแล้วก็เลยหยิบมาให้เขาว่า นี่ๆ เขามีของแถมมาให้ด้วย

มาวิน : เป็นครั้งแรกที่เราทำเซอร์ไพรส์เขาสำเร็จ แล้วเราก็ส่งสัญญาณบอกให้เพื่อนออกมา

ตู่ : เราร้องไห้จริงจังมากเพราะเราไม่คิดเลยว่าเราจะมีวันนี้ แล้วไม่คิดว่าเขาจะทำเซอร์ไพรส์อะไรได้เลย

มาวิน : อย่าว่าแต่เขาไม่เห็นปลายทางเลยครับ ขนาดตัวผมยังมองไม่ออกเลยแต่ต้องขอบคุณเขาที่อยู่กับผมมาจนถึงในวันนี้

ตู่ : เพราะว่าเขาทำให้ทุกวันเรามีความสุข มันก็เลยรู้สึกว่าอยู่แบบนี้มันก็โอเค ถ้าเลิกกับเขาไปอาจจะไปหาคนที่เขาพร้อมเราอาจจะไม่มีความสุขแบบนี้ก็ได้

ได้ฤกษ์แต่งงานที่ชัดเจนแล้ว พอเป็นนามสกุลมาลีนนท์ คนต้องคาดหวังว่าสินสอดจะต้องเป็นแบบพันล้านหรือเปล่า ?

ตู่ : 20 ธันวาค่ะ หมั้น แล้วก็ฉลองแต่งงานคือ ปีหน้าเลย 28 กุมภาพันธ์

มาวิน : มาแต่ตัวกับหัวใจเลยครับ ผมโชคดีที่สุดในชีวิตครับที่ได้เขามาเป็นแฟนและมาเป็นคู่ของผม สินสอดทำที่เท่าที่ทำได้เพราะผมตัวคนเดียว ผมบอกที่บ้านเลยว่าให้พี่ชายกับพี่สาวไปเลยบ้านผมฐานะปานกลาง แล้วเราทำมาด้วยกัน 2 คน ผมอาจจะไม่ได้มีเท่าคนอื่นเขา แต่ในชีวิตของผมผมให้เขาเต็มที่แน่นอน

ตู่ : เราบอกเขานะว่าไม่ต้องซีเรียสนะเรื่องนี้เพราะเป็นเหมือนสิ่งที่ทุกคนสนใจ เพราะว่าเราแต่งกับเขาไม่ได้เพราะเงินร้อยล้าน เราแต่งกับเขาเพราะรู้ว่าเขารักเรา