ผบ.ตร. ยก 8 เหตุผลเชื่อ "คนร้าย" จงใจพา "น้องชมพู่" ขึ้นภูเหล็กไฟ ก่อนทำให้ถึงแก่ความตาย
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่สโมสรตำรวจ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. แถลงความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ว่า เมื่อวันที่ 11 พ.ค. เวลาประมาณ 09.49 น. เด็กหญิงอรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี หายตัวไปจากบ้านพัก ชาวบ้านจึงระดมกำลังออกตามหาแต่ยังไม่พบตัวแต่อย่างใด น.ส.สาวิตรี วงศ์ศรีชา มารดาของน้องชมพู่ จึงได้เข้าแจ้งความต่อ ร.ต.อ.อดิศักดิ์ ศรีจันดา พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม จ.มุกดาหาร จากนั้นได้ระดมกำลังออกค้นหาอย่างหนัก กระทั่งวันที่ 14 พ.ค. เวลาประมาณ 19.00 น. จึงพบศพน้องชมพู่ อยู่บนเขาภูเหล็กไฟ ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ซึ่งคดีดังกล่าวเป็นคดีที่สะเทือนขวัญ และเป็นที่สนใจของประชาชนทั้งประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้นมา ซึ่งขณะนั้นตนเป็นผู้ควบคุมการสืบสวนคดีด้วยตนเอง
ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า จากการสืบสวบสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน และสอบถามพยานบุคคลจำนวน 384 ปาก สามารถนำผลสอบปากคำเข้าสำนวนการสอบสวนได้ 120 ปาก นอกจากนี้ยังสอบปากคำผู้เชี่ยวชาญอีก 13 ปาก และเก็บวัตถุพยานที่เป็นหลักฐานสำคัญในคดีซึ่งทำการตรวจพิสูจน์แล้ว 113 ชิ้น โดยเป็นหลักฐานบนที่เกิดเหตุ 16 ชิ้น เก็บตัวอย่าง DNA บุคคล จำนวน 154 ตัวอย่าง โดยสรุปข้อมูลที่ได้ทำการสืบสวนสอบสวนแล้วยืนยันว่า น้องชมพู่ ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนจุดพบศพบนภูเหล็กไฟได้ด้วยตนเอง มีเหตุผลสรุป ดังนี้
1.เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่ เพราะเนินมีความลาดชันมากกว่า 60 องศา และขวางกั้นในทุกเส้นทาง
2.พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่ รับประทาน ไม่เพียงพอต่อการเดินไปบนจุดพบศพ
3.ประสบการณ์ชาวบ้านยืนยันว่าเด็ก 3 ขวบ จะปีนป่ายไปถึงได้แค่ชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น
4.กรณีศึกษาการหลงป่า ของ นางทิน เชื้อคมตา ชาวบ้านกกตูมชาวบ้านสามารถหาได้เจอภายในคืนเดียว
5.แพทย์ผู้ชันสูตรและกุมารแพทย์ ยืนยืนว่า พัฒนาการของเด็กอายุ 3 ขวบ ไม่สามารถที่จะเดินขึ้นไปเองได้
6.สภาพศพที่เปลือยกาย ซึ่งบิดาและมารดาของน้องชมพู่ ยืนยันว่าน้องชมพู่ ไม่สามารถถอดเสื้อเองได้
7.พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจพบเส้นผมน้องชมพู่ถูกตัดด้วยมีด เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น
8.นิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง และกลัวป่า ที่ผ่านมาของน้องชมพู่ ไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ผบ.ตร. กล่าวทิ้งท้ายว่า จากหลักฐานที่ปรากฏ จึงเชื่อว่ามีคนพาน้องชมพู่ ไป และทำให้น้องชมพู่ ถึงแก่ความตาย ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งผู้กระทำผิดนั้นจะต้องมีความผิดฐานพรากเด็กและกักขังหน่วงเหนี่ยว เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และมีความผิดในข้อหาซ่อนเร้น เคลื่อนย้ายทำลายและอำพรางศพ และจากการสืบสวนสอบสวนเจ้าหน้าที่ทำอย่างรอบคอบและครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่พบพยานหลักฐานที่จะลงโทษบุคคลใดได้ แต่จากการสืบสวนก็มีบุคคลต้องสงสัย ซึ่งตอนนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ และหากปรากฏพยานหลักฐานเพิ่มเติมเมื่อใดก็จะสามารถดำเนินคดีกับคนร้ายต่อไปได้