ปชช.ร้องแก้ รธน.ตามคำบอกเล่าโดยไม่เคยอ่าน ก.ม.

2020-09-27 10:15:45

ปชช.ร้องแก้ รธน.ตามคำบอกเล่าโดยไม่เคยอ่าน ก.ม.

Advertisement

"ซูเปอร์โพล" พบ ปชช.ร้องแก้ รธน.แต่ไม่เคยอ่าน ก.ม. หวั่น "ต่างชาติ" ฉวยโอกาสกอบโกยจากไทย





เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง มหามิตรต่างชาติ กับการแทรกแซงชาติไทย กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,069 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 21-26 ก.ย.ที่ผ่านมา เมื่อถามถึงประสบการณ์การอ่านรัฐธรรมนูญของประชาชนปี พ.ศ.2540 พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 81.5 ระบุว่า ไม่เคยอ่านเลย ขณะที่ร้อยละ 2.5 ระบุว่า เคยอ่านบางมาตรา และร้อยละ 16.0 ระบุว่า เคยอ่านทั้งฉบับ นอกจากนี้เมื่อถามถึงประสบการณ์การอ่านรัฐธรรมนูญของประชาชนปี พ.ศ.2560 พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 71.7 ระบุว่า ไม่เคยอ่านเลย ขณะที่ร้อยละ 2.1 ระบุว่า เคยอ่านบางมาตรา และร้อยละ 26.2 เคยอ่านทั้งฉบับ ที่น่าเป็นห่วง คือ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 85.3 ระบุว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะฟังคนอื่นมาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ได้อ่านด้วยตนเอง ขณะที่ร้อยละ 14.7 ระบุว่า อ่านด้วยตนเองอย่างละเอียด ครบถ้วนทุกมาตรา




ที่น่าพิจารณา คือ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 95.6 ระบุว่า ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญ แก้ได้บางมาตรา แต่ห้ามแตะต้องล่วงละเมิดหมวด 1 และหมวด 2 เกี่ยวกับสถาบัน ขณะประชาชนเพียงร้อยละ 4.4 ระบุว่า แก้ไขได้ นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 75.1 ระบุว่า มีต่างชาติแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศไทย เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการชุมนุมของม็อบต่างๆ ขณะที่ร้อยละ 24.9 ระบุว่า ไม่มี อย่างไรก็ตามเมื่อถามถึงประเทศที่เป็นมหามิตรต่างชาติกับประเทศไทย ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ที่เข้าถึงเข้าใจวัฒนธรรมไทยและจิตใจของคนไทยแท้จริง พบว่า ประชาชนเกินครึ่งหรือร้อยละ 54.2 ระบุว่า ทั้งสองประเทศเป็นมหามิตรต่างชาติของไทย ขณะที่ร้อยละ 22.5 ระบุว่า ประเทศจีน ขณะที่ร้อยละ 15.6 ระบุว่า สหรัฐอเมริกา และร้อยละ 7.7 ระบุว่า ไม่ใช่ทั้งสอง

นอกจากนี้เมื่อถามถึงประเทศที่เป็นมหามิตรต่างชาติ กับประเทศไทย ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาที่ช่วยเหลือเกื้อกูลคนไทย และประเทศไทย อย่างจริงใจมาโดยตลอด พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 58.5 ระบุว่า ทั้งสองประเทศเป็นมหามิตรต่างชาติของไทย ขณะที่ร้อยละ 23.2 ระบุว่า ประเทศจีน และร้อยละ 18.3 ระบุว่า สหรัฐอเมริกา ที่น่าสนใจ คือ เมื่อถามถึงประเทศที่เป็นมหามิตรต่างชาติ กับประเทศไทย ระหว่างจีน กับสหรัฐอเมริกา ที่ควรเข้ามาทำโครงการสนับสนุนส่งเสริมความจงรักภักดีของคนไทยทั้งประเทศต่อสถาบันหลักของชาติ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 52.8 ระบุว่า ทั้งสองประเทศควรเข้ามา ขณะที่ร้อยละ 17.7 ระบุว่า สหรัฐอเมริกา ควรเข้ามาทำโครงการสนับสนุนส่งเสริมความจงรักภักดีของคนไทยทั้งประเทศต่อ สถาบันหลักของชาติ ร้อยละ 16.3 ระบุว่า ประเทศจีน และร้อยละ 13.2 ระบุว่า ไม่ใช่ทั้งสองประเทศนี้



ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลโพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญ ทั้งรัฐธรรมนูญปี 40 และรัฐธรรมนูญปี 60 และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นไปตามการชี้นำของผู้อื่นที่เขาว่ามา ซึ่งไม่ได้อ่านด้วยตนเอง นอกจากนี้คนไทยส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าห้ามแตะต้องล่วงละเมิดการแก้รัฐธรรมนูญในหมวดที่ 1 และหมวดที่ 2 เกี่ยวกับสถาบัน โดยยังเห็นว่ามีขบวนการต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเคลื่อนไหวแก้รัฐธรรมนูญและการชุมนุมของกลุ่มม็อบต่างๆ อย่างไรก็ตามคนไทยยังมองว่าทั้งประเทศจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหามิตรที่ควรเข้ามาช่วยกันทำโครงการสนับสนุนส่งเสริมความจงรักภักดีของคนไทยต่อสถาบันหลักของชาติ มากกว่าที่จะทำลายเสาหลักของชาติไทยไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และมีความเป็นไปได้ที่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่จะมีความสุข มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เมื่อทุกคนสำนึกรู้คุณแผ่นดินและสถาบันหลักของชาติ โดยการเมืองเป็นเรื่องของการเมืองอย่างแท้จริง ใครไม่รักแต่อย่าทำลาย เพราะประเทศไทยจำเป็นต้องมีเสาหลักของชาติ มีเกราะไว้ป้องกันชาติและประชาชนที่อยู่เหนือการเมือง ผู้ใดจะก้าวล่วงละเมิดไม่ได้



ผอ.ซูเปอร์โพล ระบุอีกว่า มีความเป็นไปได้อีกภาพหนึ่ง คือ บ้านเมืองวุ่นวาย เสาหลักของชาติถูกสั่นคลอน ไร้ระเบียบ ไม่มีใครควบคุมใครได้ เพราะปล่อยให้มีการคุกคามสถาบันหลักของชาติอย่างต่อเนื่องจนเกิดการเลียนแบบอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้ชาติบ้านเมืองมีแต่ซากปรักหักพังและการสูญเสีย จากนั้นประเทศมหาอำนาจจะอ้างความชอบธรรมเข้ามาจัดระเบียบประเทศไทย แต่มักจะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากไทย กลายเป็นว่าพวกเรากำลังจะทำลายบ้านเมืองของเรา เมื่อบ้านเมืองพังพินาศก็ปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาเอาทรัพยากรของชาติ ถึงเวลานั้นใครหรือกลุ่มใดจะมีพลังมากพอที่จะปกป้องชาติเอาไว้ได้ วันนี้ทุกคนน่าจะรักษาสถานภาพเดิมให้คงอยู่ต่อไป (The Status Quo) เพราะประเทศไทยและคนในชาติได้รับการยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งของโลกในหลายเรื่อง เช่น การแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 และวิกฤตชาติ ซึ่งเวลานี้กำลังคลี่คลายในทางที่ดี ส่วนปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกรัฐบาล อย่างไรก็ตามชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยและประเทศไทยยังดีกว่าหลายประเทศทั่วโลก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันนี้ แล้วประชาชนคนไทยนจะพยายามเคลื่อนไหวสั่นคลอนชาติของตัวเองต่อไปเพื่อผลประโยชน์ของใคร