ไฟป่าครั้งเลวร้ายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยมีกระแสลมแรงเป็นตัวเสริมในรัฐออริกอน ยังลุกลามในหลายสิบจุด และเผาผลาญเมืองขนาดเล็กไปแล้ว 5 เมือง มีแนวโน้มว่าผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้น ในวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น เมืองต่าง ๆ ในหลายรัฐชายฝั่งด้านตะวันตกของสหรัฐยังเผชิญหน้ากับไฟป่าที่โหมกระพืออย่างหนัก ไหม้อาคารบ้านเรือนไปแล้วหลายร้อยหลัง และพบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 8 ราย ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยมีผู้เสียชีวิต 4 รายจากไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่อีก 3 ราย ในรัฐออริกอน และเด็กชายวัย 1 ขวบ ในรัฐวอชิงตัน
เฉพาะในรัฐออริกอน เกิดไฟป่าขนาดใหญ่เกือบ 100 จุด โดยมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงประมาณ 3,000 คนต่อสู้กับไฟป่าอยู่เกือบ 40 จุด ไฟป่าเผาอย่างน้อย 5 เมืองในบริเวณเทือกเขาคาสเคด ราบเป็นหน้ากลอง และหลายพื้นที่ป่าดิบชื้อชายฝั่งทะเล ซึ่งปกติจะรอดพ้นจากไฟป่า ส่วนในรัฐวอชิงตัน ไฟป่าได้ทำลายเมืองมัลเดน ซึ่งเป็นเมืองการเกษตร ได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด
นายเคท บราวน์ ผู้ว่าการรัฐออริกอน กล่าวว่า มีประชาชน 40,000 คนต้องอพยพ หลังไฟเผาผลาญพื้นที่ไปแล้วกว่า 2,277,000 ไร่ ซึ่งปกติ ในแต่ละปี รัฐออริกอน จะมีไฟป่าลุกลามกินพื้นที่อยู่แล้วประมาณ 1,265,000 ไร่ ปีนี้นับว่ารุนแรงที่สุด
บราวน์กล่าวต่อที่แถลงข่าวว่า ไม่เคยเห็นไฟป่าลุกลามทั่วรัฐหนักหน่วงรุนแรงขนาดนี้มาก่อน รู้สึกได้เลยว่าไฟป่าครั้งนี้ ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก หรือภาวะโลกร้อน ซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์ด้านโลกร้อน กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ปัญหาโลกร้อนส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวนมากยิ่งขึ้นในช่วงฤดูฝนและฤดูแล้ง ซึ่งทำให้พืชที่เขียวขจีในช่วงหน้าฝน กลับมาแห้งเฉาในฤดูแล้ว ทำให้กลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีเมื่อเกิดไฟป่า
สำหรับรัฐแคลิฟอร์เนีย เจ้าหน้าที่กล่าวว่า มีประชาชนประมาณ 64,000 คนได้รับคำสั่งอพยพ ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังต่อสู้กับไฟป่า 29 จุดใหญ่ในหลายพื้นที่ของรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐ ขณะนี้ไฟป่าลุกลามพื้นที่ป่าในรัฐแคลิฟอร์เนียไปแล้วกว่า 3.1 ล้านเอเคอร์ หรือกว่า 7 ล้านไร่ ในปีนี้ ทำสถิติสูงสุดมากกว่าปีก่อน ๆ โดยในประวัติศาสตร์ของรัฐ เคยเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ที่สุดรวม 20 ครั้ง แต่เฉพาะในปีนี้ เกิดไฟป่าครั้งใหญ่ที่สุดแล้ว 6 ครั้ง