ใช้ชีวิตเป็นผู้พิการนับปี “ต้อม ณหทัย” เล่านาทีเฉียดตายถึง 2 ครั้ง

2020-09-08 18:10:55

ใช้ชีวิตเป็นผู้พิการนับปี “ต้อม ณหทัย” เล่านาทีเฉียดตายถึง 2 ครั้ง

Advertisement

ถ้าในยุค 30 ปีก่อน “ต้อม ณหทัย พิจิตรา” ถือเป็นนักแสดงสาวฮอตที่มีทั้งงานบันเทิงและหนุ่มๆมารุมจีบเพียบ แต่ใครจะรู้ว่าเกือบไม่มีนางร้ายหน้าสวยคนนี้มาประดับวงการบันเทิงไทยแล้ว เพราะช่วงก่อนเข้าวงการบันเทิงเต็มตัว เธอเกือบฆ่าตัวตายเพราะความรัก และนั่นก็เป็นจุดที่ทำให้ “ต้อม” ได้รู้จักธรรมะ และพาเธอรอดตายจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ได้ด้วยสติ รวมถึงสร้างกำลังใจให้รอดจากความพิการได้สำเร็จ วันนี้ชีวิตเธอเป็นอย่างไรบ้าง รายการ ต้มยำอมรินทร์ ต้องขอเชิญมาคุยแบบเน้นๆ หนักๆ กันไปเลย 




สมัยก่อนนางร้ายไม่ค่อยรับงานพรีเซนเตอร์หรอก ใช่ไหม ?




“ใช่ค่ะ งานโฆษณาอะไรก็จะน้อย ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวนี้ โอ้โห งานโฆษณาเข้า ถ้าเป็นยุคนี้นะ สงสัยได้เป็นกอบเป็นกำมาก”

ตอนนั้นก็ดังมากจากนางร้ายใช่ไหมล่ะ ?



“ตอนนั้นดังจากกระแส “ วังน้ำวน” น่าจะเป็นกระแสจากวังน้ำวนเนี่ยแหละ สุดท้ายคือเขาโทรมาบอกว่า คุณต้อม ณหทัยได้ เรานี้แบบ เหมือนแบบส้มหล่น พอเราได้ปั๊บเราดีใจมาก เพราะว่าสมัยเกือบ30ปีที่แล้ว เงินล้านนึงนี่คือ เรายังเป็นเด็กอยู่ประมาณ 20 เอง แล้วมันได้ขนาดนั้นเราก็ตกใจมาก ดังมาก คือเป็นละครที่ต้องเรียกว่าดังจนแบบทำให้เราพลิกชีวิตเรา จากเด็กธรรมดากลายเป็นพอไปไหนลงจากรถตู้นะ ความดังนี่คือแบบคนกรูเข้ามา ไม่ได้กรูเข้ามาตบนะแบบสมัยนี้ไม่ใช่ คือกรูเข้ามาแล้ว เรียกชื่อเราในละคร จะไม่ได้เรียก ณหทัย จะเรียก “ระรินๆ” แล้วคือมากอด มาทึ้ง มาอะไร มาแบบร้องให้ใส่เราอะไรอย่างนี้”




ตอนนั้นแสดงกับ “มาช่า“, “ใหม่ เจริญปุระ“  และ “ต้อม ณทัย“ ถ้าเทียบ 2 คนนั้นเค้าเป็นซุปเปอร์สตาร์ ?

“ซุปเปอร์สตาร์อยู่แล้ว ใหม่นี่เขาดังมากในชุด กลับดึก คุณมาช่าก็ดัง สวย มาจากเล่นหนัง แล้วเราแบบเป็นใครก็ไม่รู้โนเนมไปเล่นแบบนี้ พอไปเล่นผลปรากฎว่าก็ดัง เรื่องนี้ฉุดให้เราขึ้นมาเป็นที่รู้จักเลย ตอนนั้นนะจำได้ เป็นนางเอกนั่นแหละ เป็นนางเอก 3 คน แต่เป็นนางเอกที่ชัดเจนตรงไปตรงมาคิดยังไงพูดอย่างนั้น ออกแนวกล้าได้กล้าเสีย”




ครั้งหนึ่งเคยเป็นนางเอกละครมากก่อนเรื่อง “เดือนดับที่สบทา” ?

“นางเอกเรื่องแรกเลย เข้าวงการปั๊บเล่นละครคือเป็นนางเอก เรียกไปเราก็แบบยิ้มๆติ๋มๆ พี่จิ๋มก็บอก “โห..เนี่ย คนนี้นางเอก” นางเอกเลย เราไม่ได้พูดอะไรไง เรานั่งยิ้มอย่างเดียว ก้มหน้าแล้วก็ยิ้มอยู่อย่างนี้ไงเขาบอก “นี่แหละนางเอก เดี๋ยวฉันจะปั้น”เพราะเรื่องแรกก็คือเรื่องเดือนดับที่สบทา”

เรื่องเดียวดับไปเลยเรื่องนั้น สำหรับบทนางเอกดับไปเรียบร้อย ?



“ใช่ ดับไปเลย ดีที่มีพี่หง่าวนี่แหละมาาช่วยฉุดขึ้นมาเล่นวังน้ำวนนี่ไง ถึงได้กลับมาเกิด แต่มาเกิดในบทนางร้ายก็ต่อด้วย “เพลิงพระนาง” ทีนี้ ภาพความร้ายก็ยิ่งชัดเจนมากเลย”





รู้ไหมว่าเขาดังขนาดไหน ผู้ชายก็ตามเยอะใช่ไหมตอนนั้น ?

“เยอะ เยอะมากผู้ชายมาจีบเยอะมาก ก็จะมีเพื่อนคนนึงที่เป็นเพื่อนแบบเหมือนผู้ติดตาม นางก็จะแบบรำคาญผู้ชายที่มาจีบเรามาก นางก็จะทำบัตรคิวไว้ บัตรคิวจริงๆเลยนะ คนจีบเยอะ คือมีทุกเพศทุกวัยทุกแบบ พวกป๋าพวกเสี่ยก็มาเยอะ มาแบบจะบุญทุ่มจะเลี้ยงดูเรา เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นปัญญาอ่อนนะที่ต้องมาเลี้ยงเรา เราดูแลตัวเองได้ จะปฏิเสธเขาไปอะไรแบบนี้ แล้วก็มีอย่างพวกเกย์ก็มีนะ นี่ขวัญใจเกย์มากนะสมัยสาวๆ ขอแต่งงานเลย เกย์ขอแต่งงานเลย เป็นเพื่อนกันนี่แหละ ไปเที่ยวบาร์เกย์ ไปอะไรกันสนุกสนาน พอเสร็จวันนึงก็หันมา “เฮ้ยกูรักมึงว่ะ” อะไรอย่างนี้ เราก็ตกใจ จนเรารู้สึกว่ามันรักเราจริงเหรอ



จนสุดท้ายเราก็ไม่ได้คบกับเลิกคบกันไป เราก็ไม่คบกับเขา ไม่คบเลย แหม...มองหน้ากันไม่ติดแล้ว จากเพื่อนรักไปไหนไปกัน ไปค้างด้วยกันทั้งหลายที ดีมันไม่เลื้อยเรานะ ไม่ได้กันไงเพราะว่าเราไม่เอา เราแค่มองเป็นเพื่อน”


มีคนมาจีบเยอะๆ หลงรักเยอะๆมีแต่คนเขาชอบ ทำไมเราถึงไม่ชอบ ?

“เราอยากให้เขามองตรงงานเราไง อยากให้เขาโฟกัสตรงความเป็นเรา ที่ผลงาน เราเป็นคนที่รักการแสดง เวลาเราทำอะไรเนี่ย คือต้อมเป็นเด็กนาฏศิลป์ เรียนการแสดงมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นตรงนี้มันซึมซับมันอยู่ในดีเอ็นเอของเรา เราก็เลยอยากให้เขามองตรงเรา ที่เราเป็นเรา ที่งานของเรา ไม่ใช่มองเราในภาพที่แบบมันดูฉาบฉวย ความเซ็กซี่ความอะไร ในบทบาทนั้นเราก็ทำได้ แต่อยากให้คุณมองให้มันลึกไปกว่านั้น ตรงงานของเรา”





คนเข้ามาจีบเยอะแยะ สุดท้ายไม่มีใครชนะใจเลยเหรอ ?

“ก็มีบ้างค่ะ มีบ้างไม่ใช่ไม่มี ในช่วงชีวิตก็มีเลิกๆอะไรกันไปอย่างนี้ แต่สมัยก่อนไม่มีโลกโซเชียลใช่ปะ จะจีบมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขียนจดหมาย ส่งแมสเสจ โน่นนี่นั่นไป แต่เราไม่ได้เป็นคนบ้าผู้ชาย คือเป็นคนชอบสนุกสนาน ชอบอยู่กับเพื่อน ชอบปาร์ตี้ ไปเต้นรำเข้าผับนี่คือไปเพื่อเต้นรำเหมือนออกกำลังกาย ชอบเต้น ชอบเต้นมาก”

ที่เราไม่เลือกที่จะมีชีวิตคู่เพราะอะไร ?

“จริงๆ มันเคยเจอ เคยเจอตั้งแต่อายุน้อยๆเลย คนแรกเคยมีความรักแล้วเราก็รู้ว่าพอมีความรักเนี่ยความรักมันคือทุกข์ ทุกข์จริงๆเราเลยค่อนข้างจะเหมือนขยาด กลัวๆกับความรัก ที่ผ่านมาพอตรงช่วงเวลานั้นไปได้ เราฟื้นตัวเองได้แล้วเราก็เลยระวัง เป็นคนระวังในเรื่องความรัก แล้วก็ไม่รู้สึกอยากมีครอบครัว ไม่รู้สึกอยากมีความผูกพันกับใคร เหมือนรู้สึกเลยแบบว่าที่ใดมีรักที่นั้นมีทุกข์”

เคยฆ่าตัวตายเพราะความรัก มันเป็นยังไง ?  

“คือความรักครั้งแรกเกิดขึ้นในตอนที่อายุ 19 เอง ก่อนวังน้ำวนก่อนจะเข้าวงการ คือช่วงนั้นเราเริ่มจะเข้าวงการแล้ว ได้ติดต่อถ่ายโฆษณานู่นนี่นั่นแล้ว แล้วเราก็จะเจอความรักครั้งนี้ ก็เป็นความรักครั้งแรกของเรา แล้วมันไม่ได้เรียกว่าอกหักต้องเรียกว่าเป็นความรักที่ไม่สมหวังดีกว่า เพราะว่า ความต่างของอายุของเขาที่มากกว่าเราประมาณ 10 กว่าปี เขา 30 คือความคิดที่สวนทางกัน คือเราอยากเข้าวงการ นี่คือความใฝ่ฝันของเราที่อยากเป็นนักแสดง อยากเป็นอะไร แต่ขณะเดียวกันเขาอยากมีครอบครัว เขาอยากแบบเริ่มต้นครอบครัวหรือลึกๆเขาก็คงน่าจะหวงเราแหละ เขาถึงวัยแต่เรายังเด็ก คือก็คุยกันก็เริ่มไม่เข้าใจ เขาก็ไม่ซัพพอร์ตงานของเรา ก็เริ่มแบบว่าไม่อยากให้เราเข้าวงการนั่นแหละง่ายๆ เราก็เลยต้องหักต้องเลิก เราก็เป็นคนหักบอกเขาแหละว่า “ถ้าอย่างนั้นหนูขอเลิก คบกันประมาณเกือบๆ ปีนะ”





ขอเลิกกับเขาทำไมถึงอกหักถึงไปบวช ถึงคิดฆ่าตัวตาย?

“เราไม่ได้อกหักไงเราแค่ผิดหวังในความรัก และเรารู้สึกว่า พอเราไม่มีเขาเนี่ย เราไม่รู้เลยนะว่าความรักมันจะเป็นทุกข์ขนาดนี้ พอไม่มีใครจริงๆขึ้นมาเนี่ย เรารู้สึกทำไมโลกมันมืด โลกมันแบบแย่มาก ชีวิตคือทุกข์มาก ทุกข์จริงๆ

ตอนนั้นเรามีงานในวงการหรือยัง ?

เริ่มมีแล้ว แต่ยังไม่ได้โด่งดัง ยังไม่ได้อะไร เริ่มมีงาน แต่โชคดีนะมีคนมาช่วยทัน ก็เลยไม่ได้กินยา  ไม่งั้นก็คงไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะว่าอารมณ์ของวัยรุ่นที่อกหักเนี่ยน่ากลัวนะ เตือนไว้เลยนะว่าใครมีพ่อแม่หรืออะไร ควรจะมีใครที่ให้คำแนะนำเขา เพราะบางทีมันช่วงเสี้ยววินาที  เราเป็นคนรักชีวิตนะปกติแล้ว แต่วินาทีนั้นเนี่ยมันคงแบบทุกข์ซะจนมันอยู่ไม่ได้แล้วก็สุดท้ายก็เลยขับรถไปเรื่อยๆแล้วก็ไปเจอสถานปฏิบัติธรรมที่นึงที่วัดป่า เราก็รู้สึกว่าเออมองไปแล้วดูสงบจัง เราก็เลยขับรถเข้าไปแล้วก็ขอเขาบวชชีพราหมณ์ ก็คือบวชเลย”

โกนหัวด้วยไหม ?

“ไม่โกน เกือบโกนแล้วแหละ แต่ดีว่าห่วงๆความสวยนิดนึงก็เลยไม่โกนไง พอเข้าไปปั๊บ เห็นแม่ชีแต่งชุดขาวแล้วเดินกวาดใบไม้ ดูมันสงบ ก็ไปช่วยงานท่าน แล้วท่านก็สอนให้เราเดินจงกรม แค่แบบกำหนดนะ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอเนี่ย เฮ้ย!!ทำไมความรู้สึกที่เราเป็นทุกข์มันหาย เออ...มันหายไปไหน จากการที่เรากำหนดจิตเนี่ย อยู่กับขวาซ้ายเท้าที่เราเดิน มันเลยมีทริกกี้ที่เรารู้สึกว่ามันเริ่มมีอะไรดีแล้วตรงนี้ มันไม่ธรรมดาแล้วธรรมะของพระพุทธองค์ไม่ธรรมดาแล้ว พอนั่งสมาธิมันอาจจะมีฟุ้งบ้างช่วงแรก แต่พอนั่งๆไปจิตมันเริ่มสงบ ความทุกข์ที่เราแบกมาก่อนที่เราจะมาเข้าปฏิบัติธรรมเนี่ยมันมีเยอะแยะไปหมด มันไปไหน ทำไมมันวางได้”





เจอตั้งแต่ 19 เนี่ยมีบุญมาก ?

“ใช่ แล้วได้เรียนธรรมะกับหลวงพ่อสนอง ซึ่งท่านดังมากนะ ท่านอยู่วัดสังฆทาน ท่านเป็นคนสอนธรรมะเรา เราเลยเหมือนกับว่าได้ครูดีด้วย และเราเป็นคนเรียนรู้อะไรเร็ว พอเราได้ทำธรรมะตรงนี้ปั๊บ เราก็เลยเริ่มติดใจ บอกแม่ว่าเราจะขอบวชตลอดชีวิต จะบวชไม่สึกจะโกนหัวเลย ตอนนั้นเลย ไม่อยากออกมาทางโลกแล้ว เพราะว่าทางธรรมมันทำให้เราสงบมาก สงบคือเกิดความสุขจากภายใน ไม่มีทุกข์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เราก็เริ่มแบบติดใจไง คุณแม่ก็มานั่งแบบลูก “สึกเถอะงานมารอเยอะแยะแล้ว บวชแล้วก็ไม่ยอมสึก แม่ก็ต้องมาขอร้อง มานั่งทุกวัน มานั่งน้ำตาซึม สึกเถอะลูก บิลค่าใช้จ่ายก็มาเยอะแยะแล้ว อันนี้ด้วย ก็เลยทำให้เราก็บวชไม่ได้ บวชต่อไม่ได้ แต่ก่อนที่จะออกจากวัดเนี่ย ไปนั่งกราบพระประธานเนี่ยน้ำตาไหลพรากเลย บอกท่านว่าถ้าเรามีบุญพอเนี่ย ขอให้เราได้ปฏิบัติธรรมหรือบวชชีอยู่กับพุทธศาสนา ความสงบร่มเย็นนี้ แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งนะ ก็เอาธรรมะที่เราได้เนี่ยกลับมาใช้ในชีวิตประจำวัน ด้วย อิริยาบถย่อย แต่ก็กลับมาบันเทิงอยู่ในวงการบันเทิงแบบโลดแล่น”

ไม่ใช่ว่าไม่ได้คุยกับใครเลยหรือไม่ได้คบกับใครเลยหลังจากคนนั้นก็มีเพียง แต่ว่าเราระมัดระวังใจ ?

“มีๆ แต่มันก็ยังมีพลาด มันก็ยังมีพลาดบ้าง จนมีลูกคนนึงก็มี แต่ก็พอมีลูกปั๊บเนี่ย มันมาพลาดตอนอายุ 30 ก็พลาดจากการที่แบบนี้แหละ เขาก็มาดูแลเรา ดูแลกันไปดูแลกันมา เราก็มีลูกมาคนนึง แต่ก็ด้วยความที่เราเป็นคนที่ไม่อยากมีห่วงไม่อยากมีคู่ไม่อยากมีอะไรอยู่แล้ว ก็เลยปฏิเสธขออยู่คนเดียวอีก แต่ลูกก็อยู่กับเรา เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวไปตลอด”

แล้วตอนนี้คุณลูกอายุเท่าไหร่ ?

“คุณลูกอายุจะ 21 แล้วค่ะ”





ชื่ออะไร ?

“ชื่อน้องโนอาห์ค่ะ หน้าตาละม้ายคล้ายคุณแม่มากค่ะ หวานๆ ตอนนี้เรียนอยู่ปี 3”

ไปศึกษาธรรมะจนกระทั่งคิดจะบวชตลอดชีวิต แต่ก็ไม่ได้บวช กลับมาใช้ชีวิตในวงการบันเทิง แต่ว่ามีอยู่ช่วงนึง ชีวิตก็พกผันอีกครั้งหนึ่ง กลายเป็นคนพิการไม่ได้ทำอะไรไม่ได้เลย 1 ปี ?

“ต้อมเป็นชีวิตที่ขึ้นสูง แล้วก็เวลาลง ลงต่ำดิ่งมากเลย เนี่ยขับรถอยู่บนทางด่วนดีๆ เสี้ยววินาทีคนเมามาชนเราชีวิตเปลี่ยนเลย เขามาจากไหนไม่รู้มาชนท้ายเรา มันเมา ตอนหลังมันให้การรับสารภาพว่ามันเมา ด้วยความแรงของรถมันที่ไม่แตะเบรคหลับใน มันชนเราจนรถเราออกไปข้างทางด่วน เรามองไปเห็นวิวข้างล่างเป็นรถไฟ จะตก(ทางด่วน)แล้ว แล้วโชคดีที่มีรถมาชนท้ายเราเข้าไปอย่างนี้ ให้มาหมุนอยู่ในทางด่วน ไม่งั้นเราหล่นทางด่วนแล้ว ต้องบอกไอ้รถคันที่สอง สามเนี่ย มาช่วยชีวิตเรา ต้องขอบคุณ จำได้ประมาณ 5 รอบ โชคดีที่เราคาดเข็มขัดนิรภัย




ต้อม : ลูกชายอยู่ด้วย ลูกชายอยู่ข้างๆ ลูกชายเนี่ยบุญรักษาของแกจริงๆ แกไม่เป็นไรเลยนะ จำได้ว่าถ้าสุดท้ายเพราะโดนชนปั๊บ แกอยู่ท่าแบบนี้(ก้มหน้าไปกับต้นขา)เหมือนเก็บคอเก็บคองอเข่าอัตโนมัติ แต่โชคดีมาก ก่อนหน้าที่ก่อนจะรถชนแกชอบไปเล่น รถเป็น volvo Van อะมันมี 3 ตอน แกจะคลานไปอยู่ข้างหลังที่เล่นของเล่นแกอยู่ข้างหลัง ก่อนหน้าเกิดอุบัติเหตุไม่กี่วินาที แกคลานมาหาต้อมข้างๆ แล้วมานั่งบนกล่องคอนโซล แล้วพอรถชนตึ้งปั๊บเนี่ย สัญชาตญาณแม่ จับเสื้อเขา เพราะเขาไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่แล้ว ดึงไว้จิกไว้แน่นมาก จนจะกี่ตึ้งเนี่ย เราก็ถือพวงมาลัยมือเดียว กรงเล็บเหล็กจริงๆ จับลูกไว้แน่น จนรถหยุดลูกก็ยังอยู่ในมือเรา ลูกไม่ได้ไปไหนแต่ท่าอย่างนี้(ก้มหน้า)และนางก็ค่อยๆเงยขึ้นมา “เฮ้ย!!รถชนนี่หว่า”

พิการปีนึงทำอะไรไม่ได้เลย?

“ทำอะไรไม่ได้เลย ก็อยู่ในสภาพคนพิการเลย แต่ตอนนั้นที่คนไม่ค่อยรู้ข่าวเพราะว่าต้อมไม่ยอมออกสื่อ บอกตรงๆ ว่าไม่อยากให้สื่อเห็นเราในสภาพแบบนี้”

มันไม่ลงหนังสือพิมพ์เหรอ ประสบอุบัติเหตุขนาดนั้น ?

“มันอาจจะมีลงในนิดๆ แต่มันเป็นปีที่เกิดสึนามิพอดี ก็ข่าวสึนามิมันก็มาช่วยไง คนก็เลยไปโฟกัสเรื่องของ สึนามิ คนก็เลยไม่เห็นตรงนี้ของความชัดเจนของเราเป็นคนพิการ เราเชื่อมั่นว่าเราต้องกลับไปแข็งแรง กลับไปเดินได้ กลับไปลุกขึ้นเต้นได้เหมือนเดิม”




ตอนนั้นกลัวไหมว่าจะไม่หาย มันมีความเสี่ยงไหม ?

“คือลึกๆ เรามีเซนส์ว่าเราจะต้องกลับมา หมอก็ไม่ฟันธง หมอบอกก็ต้องกายภาพบำบัดต้องอยู่ที่เราว่าจะสร้างกระดูกไปประสานกันได้จะเชื่อมกันเมื่อไหร่ เพราะว่าตอนโดนชนก็อายุ 36 แล้ว ก็อยู่ที่ตัวเราอยู่ที่อาหารการกินด้วย แต่เราเชื่อมั่นว่าเราจะต้องกลับไปได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ให้ใครเห็นภาพตอนนี้ ก็เลยใช้เวลาประมาณปีนึงก็ ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม ไปผ่าตัดเอาเหล็กออกได้ ช่วงปีนึงเราก็ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสคือปฏิบัติ เราขาหักแต่ใจเราไม่ได้เป็นอะไรถูกปะ? เราก็นั่งกำหนดสมาธิไปเรื่อยๆฝึกสมาธิไป คือถือศีล 5 เลย อันดับแรกถือศีล 5 ก่อนถ้าคุณมี 5 ข้อคลุมใจนะชีวิตคุณจะมีความสุขเลยถูกไหม คุณไม่ไปเบียดเบียนใคร ไม่ไปลักทรัพย์ใคร ไม่ไปเอาของใคร ลูกผัวใครเราไม่ยุ่ง ไม่ดื่มสุรา ใน 5 ข้อนี้ ทุกวันนี้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น แล้วก็เลยเป็นคนที่ทำบุญทุกรูปแบบ”

ความรักเป็นยังไงตอนนี้ ?

“ตอนนี้ก็มีคนที่คบกันมา ก็ประมาณก็ยาวนานแล้วเหมือนกันนะ ประมาณเกือบ 18 ปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นข่าวอีก เขาเป็นคนนอกวงการ ก็อยากมีความเป็นส่วนตัว ไม่แต่งงาน แต่เขาเป็นคนที่อยากแต่งงานมาก เป็นผู้ชายที่อยากแต่งงาน ความใฝ่ฝันของเขาคืออยากแต่งงานแล้วพอเขาเจอเราปั๊บ 4 เดือนเขาขอแต่งงาน 4 เดือนขอ 6 เดือนขอ 8 เดือนขอ ขอเรื่อยๆขอเป็นระยะๆ จนสุดท้ายเราไม่รู้จะทำยังไง เราก็บอก เอาอย่างนี้แล้วกันเดี๋ยวคบให้ถึง 20 ปีแล้วฉันจะแต่งด้วย ก็พูดไป ก็คิดจะไม่ถึงไง”




แล้วถ้าถึง 20 แล้วเข้าแล้วเขาขอล่ะ ?

“ก็เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที ถ้าเกิดว่าเขายังอยากแต่ง เขาอาจจะไม่อยากแต่งก็ได้ ตอนนั้นใส่สูทก็พุ้ยแล้วไหมพุง ไม่ไหวแล้วนะ”

ทำไมอยู่กันมานานขนาดนี้แล้วยังไม่แต่งล่ะ ?

“คือต้อมรู้สึกว่าไม่อยากให้มีแบบอะไรมากำหนดว่าผูกมัดว่า คือเห็นคนแต่งงานกันจดทะเบียนสมรสก็ไม่ได้แปลว่า คุณจะมีความสุขและอยู่ด้วยกันตลอดไป มันไม่ใช่มีข้ออะไรมาเป็นการชี้วัด คือถ้าคนปฏิบัติธรรมมากๆจะรู้ว่า เขาจะไม่ยึดกับอะไร แม้แต่แฟนเขาก็จะไม่ยึด”

บางทีเขาก็อาจจะอยากรู้สึกว่าให้เกียรติเราคบกับเรา การแต่งงานก็คือการให้เกียรติ ?

“เรามีเกียรติของเราอยู่แล้ว ด้วยเกียรติของเราเรามีอยู่แล้ว ชวนกันเอาเงินไปทำบุญดีกว่า ก็คือบอกเขาว่าเงินที่จะแต่งงานอย่างน้อยคนก็ต้องใช้งบนะ อย่างน้อยๆนะเป็นหน้าเป็นตาใช่ไหมก็ต้องมี สี่ห้าแสนเอาไปสร้างพระประธานดีกว่า เอาไปสร้างคน สร้างสถานปฏิบัติธรรม สร้างอะไรอย่างนี้ดีกว่า ก็จะชวนเขาก็จะบอกแบบนี้ คือทุกวันนี้นะต้อมอินกับธรรมะจนกระทั่งการปฏิบัติของต้อมเนี่ย กินยืนเดินนั่งนอนทุกอย่างเป็นการปฏิบัติ ปฏิบัติอยู่ข้างในหมดเลย”