“บิ๊กอู๊ด” ลงพื้นที่คุมเข้มแรงงานเถื่อน "พังงา-ภูเก็ต" หวั่นโควิดระบาดซ้ำ ลั่นฟันไม่เลี้ยง จนท.เอี่ยวขนคนผิดกฎหมาย
เมื่อวันที่ 18 ก.ค. พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พิสิฐ ตันประเสริฐ รอง ผบช.สงป.ปฏิบัติราชการ สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รองผบก.สส.สตม. พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สตม.พังงา และภูเก็ต ให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโควิด-19 เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เคยมีการแพร่ระบาดของโรค โดยได้นำอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อไปมอบให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ด้วย
พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวว่า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้เข้มงวดกวดขันเฝ้าระวังการติดเชื้อภายในห้องกักตัว โดยให้ถ่ายรูป บันทึกวิดีโอ และถ่ายภาพนิ่งตลอดระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้ง่ายต่อการสืบสวนโรคหากเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ซึ่วที่ผ่านมา สตม.มีความพร้อมรับมือการระบาดเป็นอย่างดีอยู่แล้ว จึงขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคน พร้อมเน้นย้ำเจ้าหน้าที่รัฐต้องไม่ไปเกี่ยวข้องกับขบวนการขนแรงงานเถื่อนเข้าประเทศ โดยหากตรวจพบจะดำเนินคดีขั้นเด็ดขาดอย่างแน่นอน เพราะเมื่อสืบสวนโรคก็จะพบทั้วหมดว่าใครเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการขนแรงงานเถื่อนตามแนวชายแดน
พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวอึกว่า ที่ผ่านมา 53 วันไทยไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในประเทศแล้ว หากขนแรงงานเข้ามาอย่างผิดกฎหมายจะมีเสี่ยงต่อการระบาดรอบของไวรัสโควิด-19 รอบสอง ดังนั้นจึงต้องเข้มงวดกับกิจการที่ต้องการแรงงานต่างด้าวเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญกว่า อย่างไรก็ตามขอให้ตำรวจ สตม.ใช้หลักรัฐศาสตร์ในการทำงาน และ ตม. ต้องพยายามบริหารจัดการในภาวะวิกฤติให้ได้ รวมทั้งต้องดูแลช่วยเหลือนักท่องเที่ยวให้เป็นอย่างดีต่อไปในอนาคตด้วย

พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลายทางแล้ว สตม.จึงเตรียมออกประกาศให้คนต่างด้าวหรือชาวต่างชาติที่ตกค้างอยู่ในประเทศไทยที่มีอยู่ประมาณ 3-4 แสนคนซึ่งได้รับการยกเว้นให้อยู่ในประเทศตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 1-2 จะต้องทำเรื่องเพื่อขออยู่ต่อในกรณีที่ต้องการพำนักต่อในประเทศไทย แต่หากต้องการเดินทางกลับประเทศต้นทางก็สามารถเดินทางออกตามขั้นตอนปกติได้เลยโดยไม่ต้องมาแจ้งที่ สตม. เริ่มตั้งแต้วันที่ 1 ส.ค.-26 ก.ย.นี้ หากเกินกว่านึ้จะถือว่าผิดกฎหมายซึ่งจะถูกจับกุมและจะติดแบล็กลิสต์ซึ่งจะไม่สามารถเดินทางมาประเทศไทยได้อีก