รายงานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 (ศบค.)วันที่ 17 มิ.ย.63 เหมือนหยิบฉบับก่อนมาอ่าน จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศเป็น 0 จากพื้นที่ควบคุมโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) ก็ 0 เป็น 0 ต่อเนื่องมาแล้ว 23 วัน
ตัวเลขอื่นๆ ก็คงเดิม ผู้ป่วยสะสม 3,135 ราย หายแล้ว 2,996 เสียชีวิตไม่เพิ่ม คงที่ 58 นอนโรงพยาบาล 81
แต่ขนาดนี้ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.กับ พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยฯ ก็ยังย้ำทุกครั้งที่แถลงให้สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยและมาตรการระวังการติดเชื้อให้ครบถ้วน ทั้งมีระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงที่แออัด ลดการสัมผัสผิวพื้น
วันนี้ คุณหมอขอให้คงตัวเลข 0 ให้ต่อเนื่องเป็นสถิติของไทยและเป็นสถิติที่ดีงามของทั้งโลก
ส่วนอินเดีย ที่ครองอันดับสี่มาหลายวัน ยอดการเสียชีวิตวันนี้สูงที่สุด 2,006 ราย ยอดสะสม 11,921 ราย การค้าขายและวิถีชีวิตปกติที่กลับมา กลายเป็นสาเหตุและแหล่งการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง
ทำนองเดียวกัน กับการตรวจพบการติดเชื้อ 2 ราย ที่ประแทศ นิวซีแลนด์เป็นครั้งแรกในรอบ 24 วันที่ โดยทั้งสองรายเดินทางมาจากสหราชอาณาจักร และคาดว่าติดเชื้อ ในระหว่างขออนุญาตออกจากพื้นที่ไปร่วมงานศพ คงเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า จังหวะการใช้ชีวิตโดยทั่วไปที่อาจมีความหลงลืม ละเลย ขาดความเคร่งครัด อาจทำให้เกิดเรื่องได้
คนไทยจึงถูกกระตุ้นเตือนและย้ำให้การใส่หน้ากากเป็นวัฒนธรรมการป้องกันการติดเชื้ออยู่ทุกวี่วัน พร้อมกันก็มีความพยายามชี้ชวนให้เห็นประโยชน์ของการใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ ในการสแกนคิวอาร์โค้ด เช็กอินเมื่อเข้าสู่สถาน กิจการร้านค้า ต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่กลัวข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ตรั่วไหล ใช้วิธีเขียนชื่อพร้อมเบอร์โทรศัพท์ในบันทึกของร้านค้า
แต่การรณรงค์กระตุ้นเตือนไม่ให้การ์ดตก มีหน้ากากกักกั้นเชื้อตลอดเวลา อาจจะป้องกันได้ระดับหนึ่ง การเปิดให้มีกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวโดยเฉพาะที่เดินทางมาจากต่างประเทศ แม้จะใช้แนวทางทราเวล บับเบิลหรือการจับคู่ประเทศที่จัดการโรคโควิ-19ได้ดีเท่ากัน ก็ยังมีข้อสงสัยว่า จะป้องกันการแพร่เชื้อได้ขนาดไหน การประชุม ศบค.ชุดเล็กวันที่ 17 มิ.ย.63 เพื่อพิจารณากรณีนี้ ที่ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ จึงยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากความกังวลต่อความเสี่ยงที่การแพร่ระบาดจะกลับมายังมีอยู่
ทั้งนี้ ยังเชื่อมโยงถึงการพิจารณายกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หากไม่มีอำนาจนี้ เมื่อมีกรณีสงสัยบุคคลที่เดินทางเข้าประเทศจะเป็นผู้ติดเชื้อจะสั่งกักตัวได้หรือไม่ กักที่ไหน ใครจะเป็นคนสั่ง ภาระค่าใช้จ่ายจะตกกับฝ่ายใด
แม้วันนี้สถานการณ์โควิดของไทยจะคลี่คลาย แต่การจะกลับมาใช้ชีวิต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็มีสิ่งที่ต้องกังวลอยู่อีกไม่น้อย
พลาดนิด ผิดหน่อย โควิดคอยจะซ้ำเติม
ต้องเชื่อละว่า อย่าให้การ์ดตก
ตอนนี้ ไทยอยู่อันดับที่ 90 จากจำนวนประเทศที่มีผู้ติดเชื้อกว่า 200 ประเทศ โดยยอดผู้ป่วยสะสมทั่วโลกถึง 8,257,885 ราย ในรอบ 24 ชม.นี้ เพิ่มถึง 144,206 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 445,986 ราย มีสหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำสูงสุดอันดับหนึ่งทั้งผู้ป่วยสะสมและเสียชีวิตสะสม แต่ประเทศบราซิลที่เป็นอันดับสอง วันนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ กราฟพุ่งขึ้นเป็นแนวตั้งด้วยจำนวน 37,278 ราย แซงหน้าสหรัฐ ที่มี 25,450 ราย 
ในกลุ่มระดับท้อป ประเทศเหล่านั้นกำลังพยายามแก้ไขกันสุดฤทธิ์ แต่ในดินแดนที่จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง สถานการณ์คลี่คลาย ผ่อนปรนให้คนออกมาใช้ชีวิตได้ ประกอบธุรกิจได้ แล้วเกิดการติดเชื้อขึ้นอีกรอบดูเป็นเรื่องน่าห่วงกว่า
ดังกรณีเหตุเกิดที่ประเทศจีน รายงานจากกรุงปักกิ่ง แจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 11-15 มิ.ย. พบผู้ป่วยโควิด-19 จากการติดเชื้อในประเทศเพิ่ม 106 ราย โดยกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับตลาดซินฟาตี้ ตลาดค้าส่งผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ขนาดใหญ่ ที่ล่าสุดทางการสั่งห้ามรถแท็กซี่หรือรถโดยสารออกจากเมืองตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง 
ทั้งนี้ ทางการ ได้ประกาศยกระดับการเตือนภัยฉุกเฉินเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดจากระดับ 3 สู่ระดับ 2 โดยมีมาตรการสำคัญ คือ ประชาชนทุกคนที่จะเดินทางออกจากกรุงปักกิ่งจะต้องผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อน นอกจากนี้ เทศบาลนครปักกิ่งยังสั่งปิดโรงเรียนทุกแห่ง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดเนื่องจากผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นทั้งที่ปักกิ่งและแพร่ระบาดไปยังมณฑลใกล้เคียง
คุณหมอบอก โอกาสรั่วไหล เกิดง่ายกว่าการสแกนไทยชนะ เพราะคนนอกระบบจะไม่มีทางเข้าถึงเหมือนการบันทึกในกระดาษ
