ตร.เร่งล่าโจรปล้นอุกอาจชิงเก๋งกลางเมืองชุมพร

2020-06-10 17:05:31

ตร.เร่งล่าโจรปล้นอุกอาจชิงเก๋งกลางเมืองชุมพร

Advertisement

ตร.ชุมพร เร่งไล่ล่าแก๊งโจรสวมรอยเป็นไฟแนนซ์ บุกปล้นอุกอาจชิงรถเก๋งกลางเมืองชุมพร

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. นางสาวลลิตา เส็งดอนไพร อายุ 29 ปี พร้อม นายสมศักดิ์ แสวงหา อายุ 30 ปี แฟนหนุ่ม อยู่บ้านเดียวกันเลขที่ 33/3 หมู่ 8 ตำบลวังไผ่ อ.เมือง จ.ชุมพร นำหลักฐานสำเนาเอกสารภาพถ่าย และคลิปวิดีโอกล้องวงจรปิด พร้อมหมายเลขเบอร์โทรศัพท์การติดต่อ มอบให้กับ พ.ต.อ.ชนินทร์ ณรงค์น้อย ผกก.สภ.เมืองชุมพร และ ร.ต.อ.นันทิยา รักดี รอง สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองชุมพร เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ 3 ชายฉกรรจ์ที่อ้างตัวว่าเป็นพักงานไฟแนนซ์ ก่อนชิงรถเก๋งโตโยต้า ยาลิส สีแดง ทะเบียน กธ 1088 สุพรรณบุรี หลบหนีไปนาน 3 วัน จนสามารถติดตามทราบที่อยู่ของชายฉกรรจ์กลุ่มดังกล่าวว่าเป็นใคร และอยู่ที่ใด

นางสาวลลิตา เล่าว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.00 น.ของวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ตนกำลังขับรถเก๋งคันดังกล่าวซึ่งเป็นของนายสมศักดิ์ แฟนหนุ่ม ออกมาจากบ้านเพียงลำพังเพื่อไปซื้อข้าวที่ร้านแห่งหนึ่งใกล้สี่แยกปฐมพร ริมถนนเพชรเกษม ต.วังไผ่ อ.เมือง จ.ชุมพร เมื่อไปถึงร้านตนจึงจอดรถไว้ริมถนนแล้วลงไปซื้อข้าวแกง เมื่อซื้อเสร็จจึงเดินกลับมาที่รถเพื่อขับกลับบ้าน จู่ๆ มีรถกระบะมิตซูบิชิ สีเทา-ดำ สี่ประตู ทะเบียน 7230 ภูเก็ต ขับมาจอดอยู่ด้านซ้ายของรถตน ก่อนที่จะขับมาด้านหน้าเพื่อปิดทางไม่ให้ตนขับออกไป




นางสาวลลิตา กล่าวต่อว่า จากนั้นมีชายฉกรรจ์ซึ่งเป็นคนขับรถกระบะ เดินมาหาตนแล้วบอกว่าเป็นพนักงานไฟแนนซ์จะขอยึดรถ โดยอ้างว่าค้างค่างวดผ่อนส่งมาแล้วหลายครั้ง พร้อมกับยื่นมือเข้ามาในรถแล้วดึงเอากุญแจรถเก๋งออกไป นอกจากนั้นยังมีชายฉกรจ์อีก 2 คน มาเปิดประตูรถเก๋งด้านซ้ายแล้วพูดจาข่มขู่ให้ตนหวาดกลัว จากนั้นชายคนที่ขับรถกระบะบอกให้ตนออกมาจากรถ ก่อนที่จะขับรถของตนออกไปทางช่องยูเทิร์น แล้วย้อนกลับรถไปทางสี่แยกปฐมพรในช่องทางขาล่อง โดยมีชายฉกรรจ์อีก 2 คนวิ่งไปขึ้นรถกระบะซึ่งขับตามกันไปติดๆ

ผู้เสียหาย กล่าวอีกว่า เมื่อหายจากตกใจจึงรีบโทรศัพท์ไปหานายสมศักดิ์ แฟนหนุ่ม พร้อมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง แต่แฟนกลับตอบมาว่ารถผ่อนใกล้หมดแล้ว และไม่ได้ค้างค่างวดไฟแนนซ์แต่อย่างใด และเมื่อแฟนโทรศัพท์ไปสอบถามไฟแนนซ์ที่ผ่อนชำระค่างวดอยู่ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ไดให้เจ้าหน้าที่ไปตามยึดรถ และขอให้ไปแจ้งความที่โรงพัก ซึ่งเบื้องต้นได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันเพื่อเป็นหลักฐานไว้ที่ สภ.เมืองชุมพร แล้ว กระทั่งวันจันทร์ได้รับการยืนยันจากสำนักงานใหญ่บริษัทไฟแนนซ์ ว่า บุคคลทั้ง 3 ที่ไปยึดรถเก๋งของตน ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทไฟแนนซ์แต่อย่างใด



ด้าน นายสมศักดิ์ เจ้าของรถเก๋ง กล่าวว่า ตนนำภาพถ่ายทะเบียนรถคันก่อเหตุ และภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิดที่ขอมาจากร้านค้าไปมอบให้กับตำรวจชุดสืบสวนและทหารด่านตรวจ จปร.เขตรอยต่อชุมพร-ระนอง เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบจนทราบชื่อผู้ครอบครองรถกระบะคันดังกล่าวว่าเป็นผู้หญิง และรู้ตัวชายฉกรรจ์ผู้ก่อเหตุทั้ง 3 คนแล้วว่าอยู่ในพื้นที่ จ.ระนอง กระทั่งมีคนโทรศัพท์มาหาตนแล้วบอกว่าเป็นการเข้าใจผิด โดยให้ตนพูดคุยกับชายคนหนึ่งซึ่งอ้างเป็นผู้กองอยู่ที่โรงพักแห่งหนึ่งใน จ.ระนอง โดยขอให้ถอนแจ้งความแล้วจะนำรถไปคืนให้ ซึ่งตนก็ไม่ได้รับปากอะไร

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า กระทั่งตอนบ่ายวันจันทร์ที่ 8 มิถุนายนที่ผ่าน มีคนโทรศัพท์ให้ตนไปเอารถเก๋งคืนโดยจอดทิ้งไว้ที่ริมเอเชีย 41 ถนนตรงข้ามกับค่าย ตชด.41.ชุมพร ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 10 กิโลเมตร สภาพรถไม่มีความเสียหาย และทรัพย์สินอยู่ครบ แต่ป้ายทะเบียนมีร่องรอยถูกถอดออกขันน๊อตไว้หลวมๆ โดยเฉพาะกรอบใส่ป้ายทะเบียนหน้าไม่ใช่ของตน ลักษณะใส่สับเปลี่ยนผิดอันมาให้ จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่า ที่ผ่านมาจะมีแก๊งคนร้ายที่รู้ประวัติข้อมูลผู้ครอบครองรถยนต์ หรือบางทีใช้วิธีเดาสุ่มจากรถทะเบียนต่างจังหวัดแล้วทำทีเป็นพนักงานไฟแนนซ์เข้ามาขอยึดรถยนต์ไม่ผ่อนจ่าย หรือรถหนีไฟแนนซ์ หากเจอเป็นรถยนต์ในลักษณะดังกล่าวจริงผู้ครอบครองก็จะไม่สนใจติดตาม แล้วแก๊งคนร้ายพวกนี้ก็จะนำรถคันนั้นไปจำนำเถื่อน หรือไม่ก็ส่งไปขายยังชายแดนประเทศเพื่อนบ้านฝั่ง จ.ระนอง

นายสมศักดิ์ เล่าต่อว่า ระหว่างที่ตำรวจสอบปากคำผู้เสียหายอยู่นั้น จู่ๆ มีโทรศัพท์เข้ามาหาตน ซึ่งตนจำหมายเลขโทรศัพท์ได้ว่าเป็น 1 ใน 3 ชายฉกรรจ์ที่เคยติดต่อมาหาหลายครั้งเพื่อขอเคลียร์ปัญหาโดยอ้างว่าเป็นการเข้าใจผิด ตนจึงได้ส่งโทรศัพท์ให้กับ พ.ต.อ.ชนินทร์ ณรงค์น้อย ผก.สภ.เมืองชุมพร พูดคุยซักถามเพื่อเก็บข้อมูลประมาณ 1 นาที กระทั่งถูกตัดสายทิ้งไป นอกจากนั้นยังมีพนักงานไฟแนนซ์ตัวจริงโทรเข้ามาพูดคุยด้วย และได้พูดคุยกับ พ.ต.อ.ชนินทร์ โดยยืนยันว่าชายฉกรรจ์ทั้ง 3 คนไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทไฟแนนซ์แต่อย่างใด



ด้าน พ.ต.อ.ชนินทร์ กล่าวว่า ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานสักระยะ โดยจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อจับกุมคนร้ายแก๊งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะดูจากหลักฐานภาพซึ่งเป็นภาพถ่ายกล้องวงจรปิดแล้ว น่าจะเป็นการใช้อุบายในการชิงทรัพย์ หรือลักทรัพย์ ส่วนจะเข้าข่ายปล้นทรัพย์หรือไม่ คงต้องรอผลการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานที่ชัดเจนอีกครั้ง ว่าจะเข้าประกอบความผิดข้อหาใด และคาดว่าจะสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาแก๊งดังกล่าวในเร็วๆ นี้ได้อย่างแน่นอน