กองปราบ เผย "พ่อ-ลูก" สุดแสบสร้างหลักฐานเท็จฮุบที่ดินสงฆ์กว่า 3,800 ไร่ มั่นใจเอาผิดได้
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. จากกรณี พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ อดีตรองจเรตำรวจแห่งชาติ ใช้อาวุธปืนยิงนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความชื่อดัง, นางสุภาพร ภรรยานายบัญชา, นายวิชัย อุดมธนภัทร และนายวิจัย สุขรมย์ ทีมทนาย ภายในศาลจังหวัดจันทบุรี ขณะกำลังรอพยานฝ่ายจำเลยและรอผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์เพื่อนัดสืบพยานฝ่ายจำเลยนัดแรก จนทำให้นายบัญชา และนายวิจัย เสียชีวิต ส่วน พล.ต.ต.ธารินทร์ ถูกนายธนากร ธีรวโรดม ถูกเสมียนทนายนำอาวุธปืนตำรวจประจำศาลจังหวัดจันทบุรี ยิงเข้าใส่จนเสียชีวิต
ล่าสุดชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.2 กองปราบปราม เข้าจับกุมนายบุญช่วย เจริญสถาพร อายุ 80 ปี และ นายกิตติพงษ์ เจริญสถาพร อายุ 43 ปี บุตรชาย ซึ่งตกผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาอาญา รัชดาฯ ในข้อหาเบิกความเท็จต่อศาล, ให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ และร่วมกันยักยอกทรัพย์ ได้ที่บ้านเลขที่ 32/21 ม.10 ต.คลองพลู อ.เขาคิชฌกูฎ จ.จันทบุรี ก่อนนำตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมที่กองปราบปราม
จากนั้นไม่นาน น.ส.เขมจิรา บัณฑูรนิพิท ภรรยาของ พล.ต.ต.ธารินทร์ เดินทางมายังกองปราบปราม โดยนำรูปภาพและอัฐิของ พล.ต.ต.ธารินทร์ มารอพบกับนายบุญช่วย และนายกิตติพงษ์ พร้อมกล่าวว่า หลังจากต่อสู้คดีมาหลายสิบปี เมื่อนายบุญช่วย กับบุตรชาย ถูกจับ จึงมารอเจอที่กองปราบปราม เพราะตนอยากให้พวกเขายอมรับความจริง ว่า นายสมพล โกศลานันท์ เป็นเจ้าของ และได้ขายที่ดินให้พระกิตติวุฒโท ในนามมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุอย่างไร และมูลนิธิชี้แจงอย่างไร ที่สำคัญ คือ พล.ต.ต.ธารินทร์ ไม่ควรเสียชีวิต ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบและสื่อมวลชนที่ช่วยติดตามข่าวจนทำให้ความจริงปรากฎ พล.ต.ต.ธารินทร์ จะไม่ตายฟรีแล้ววันนี้ได้นำอัฐิ พล.ต.ต.ธารินทร์ และรูปภาพเขามาด้วย สำหรับคดีที่นายบุญช่วย ฟ้องร้องตนฐานฟ้องเท็จเกี่ยวกับเรื่องการครอบครองที่ดินทั้งหมด 3 คดี ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งลงโทษจำคุกตนและทนายรวมทั้งหมด 7 ปีโดยให้รอลงอาญาไว้ก่อน ขณะนี้กำลังเตรียมยื่นอุทธรณ์
ด้าน พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม กล่าวว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนยังให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยมีรายงานจากชุดจับกุมว่า ขณะเข้าตรวจค้นที่บ้านพักไม่พบเอกสารหลักฐานใดเกี่ยวกับการครอบครองที่ดิน ซึ่งในทางคดีนั้นทราบอยู่แล้วว่าผู้ต้องหาไม่มีเอกสารซื้อขาย แต่เป็นการสร้างหลักฐานเท็จโดยฟ้องศาลเพื่อให้ได้เอกสาร นส.3 มาเป็นของตนเอง แล้วโอนชื่อเป็นของตนในปี 2553 อย่างไรก็ตามยอมรับว่าในการสร้างหลักฐานเท็จต้องมีคนร่วมกระทำผิดมากกว่า 2 ราย ซึ่งบางคดีหมดอายุความไปแล้วแต่ไม่มีความหนักใจ เพราะมีหลักฐานยืนยันได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุจริง