ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้วกว่า 400,000 คน ตั้งแต่เริ่มการระบาดเมื่อ 6 เดือนก่อน จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ ในสหรัฐ
ในวันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตทะลุ 400,000 คนไปเรียบร้อยแล้ว อยู่ที่ 400,243 คน ผู้เสียชีวิตรายวันมากที่สุดอยู่ในลาตินอเมริกา แต่สหรัฐยังอันดับ 1 มีผู้เสียชีวิตสูงที่สุดในโลกเกือบ 110,000 คน ตามมาด้วยอังกฤษ มากกว่า 40,000 คน ส่วนผู้ติดเชื้อทั่วโลกอยู่ที่มากกว่า 6.9 ล้านคน ซึ่งก็ยังเป็นสหรัฐที่ติดเชื้อสูงสุด อยู่ที่ 1.92 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไวรัสควิด-19 ทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง หลายประเทศจึงเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ เศรษฐกิจทั่วยุโรปและสหรัฐ เริ่มกลับมาเปิดอีกครั้ง ยุโรปเปิดพรมแดนของตน และอนุญาตให้ประชาชนกลับไปทำงานได้ตามปกติแล้ว แม้ว่ารัฐบาลยังคงเรียกร้องให้ประชาชนเคารพมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ social distancing แต่ความหวาดกลัวว่าไวรัสจะกลับมาระบาดระลอก 2 ก็กระตุ้นให้หลายประเทศหันมาใช้มาตรการคุมเข้มอีก เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่กำลังลดลง กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ขณะที่ องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือโอเปก ตกลงขยายลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมันที่ตกต่ำจากสาเหตุการระบาดของไวรัสโควิด-19
ส่วนบราซิล ขณะนี้ เป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก อยู่ที่กว่า 35,900 คน และติดเชื้อสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐ อยู่ที่ 672,846 คน แต่ประธานาธิบดีจาอีร์ โบลโซนาโร ขู่ที่จะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกขององค์การอนามัยโลก หรือดับเบิลยูเอชโอ (WHO) เนื่องจากมองว่า ฮูมี “อุดมการณ์อคติ” ซึ่งเป็นการเดินตามรอยสหรัฐที่ตัดเงินสนับสนุนฮูไปก่อนหน้านี้ โดยนายโบลโซนาโรเป็นหนึ่งในคนที่กล่าวว่ามาตรการล็อคดาวน์ทำลายเศรษฐกิจเเสียหายลวร้ายกว่าไวรัส และโดยเฉพาะอุตสาหกรรมน้ำมัน ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
โอเปกตกลงกันเมื่อวันเสาร์ขยายข้อตกลงลดกำลังการผลิตในเดือนเมษายนออกไปจนถึงเดือนกรกฎาคม ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกอบกู้ราคาน้ำมัน หลังดิ่งลงอย่างหนักจากมาตรการล็อคดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัส