วิกฤติไฟป่าเชียงใหม่ อย่าให้โควิด 19 บดบัง

2020-04-06 15:30:32

วิกฤติไฟป่าเชียงใหม่  อย่าให้โควิด 19 บดบัง

Advertisement



กรรมของประชาชนคนไทย และทุกข์ยากของประเทศ สำหรับมหันตภัยร้ายโควิด 19


ยิ่งโหมกระพือเท่าไหร่ ก็ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น ยิ่งนำเสนอทั้งเรื่องในประเทศและนอกประเทศ คนก็ยิ่งกลัวและหวาดระแวงไม่หยุด


หนักๆเข้ากลายเป็นความเครียด โดยเฉพาะในยุคข่าวสารทั้งจริงทั้งเท็จมีว่อนทั่วโลกออนไลน์และโซเชียล จนแทบจะ"ประสาท(แดก)กิน"เอา




แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้คนยิ่งเสพข่าวโควิด 19 มากเท่าไหร่ ก็ทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งคึกคักเฮฮา ไม่ว่าจะกลุ่มกักตุนหน้ากาก แก๊งส่งหน้ากากออกนอก ก๊กกักตุนแอลกอฮอล์ หรือขบวนการกักไข่ไก่ส่งขายเมืองนอก เพราะการตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ ดูจะเงียบหายไปกับกระแสแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส 2019



ใครตัวการ ใครเป็นไอ้โม่ง ใครร่ำรวยทันตาเห็น จากการกระทำที่ต่ำช้าที่ว่านี้ ยังไม่มีคำตอบใดๆ ไม่มีการขยับ หรือเร่งสะสางหาความกระจ่างชัด ใครอยากรู้ ต้อง"รอ"ไปก่อน เหมือนกับหลายๆเรื่อง หลายๆครั้งที่ผ่านมา


เรื่องใหญ่มากเรื่องหนึ่งที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อน้อยมาก ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญต่อทั้งผู้คน ต่อระบ บนิเวศน์ และต่อชีวิตสัตว์ป่าน้อยใหญ่ คือไฟป่าเชียงใหม่ ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม




จุดเริ่มต้นฟังจากหัวหน้าอุทยานฯ อยู่ในเขตพื้นที่ลาดชันเข้าถึงลำบาก ประกอบกับไม่มีไฟป่าเกิดขึ้น 4-5 ปีแล้ว ทำให้มีเชื้อสำหรับลุกลามอยู่มาก ไฟได้ปะทุเผาผลาญพื้นที่ในวงกว้างถึง 2,400 ไร่ ที่สำคัญ คือการเผยแพร่ภาพแดงฉานระหว่างไฟไหม้ลุกลามพื้นที่เป็นวงกว้าง โดยกลุ่มร่มบินและโดรนอาสา ที่เข้าไปช่วยประสานกับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อดับไฟป่า และใช้โดรนถ่ายภาพจากมุมสูงเพื่อชี้ตำแหน่งให้เจ้าหน้าที่ดับไฟได้รับทราบและตรงจุด


แต่ปรากฎว่าภาพที่เผยแพร่ออกไปดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่ยืนยันว่าเอาอยู่ สามารถสะกัดการลุกลามของไฟได้แล้ว จึงนำไปสู่การประกาศถอนตัวของกลุ่มร่มบินและโดรนอาสา หลังจากพบว่าทางเจ้าหน้าที่ได้ตั้งด่านและห้ามกลุ่มอาสาต่างๆเข้าไปในพื้นที่ แม้ต่อมาจะมีการทำความเข้าใจและให้กลับไปร่วมภารกิจดังเดิม แต่ได้สร้างรอยปริร้าวให้เกิดขึ้นแล้ว


ขณะที่ข้อมูลจากชาวบ้านในพื้นที่ นอกจากยอมรับว่ามีความขัดแย้งและเห็นต่างระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่เรื่องประกาศเขตอุทยานทับพื้นที่ทำกินของชาวบ้านมาตั้งแต่ต้นแล้ว ยังตั้งข้อสังเกตุถึงจุดที่เกิดไฟใหม้ครั้งแรกว่า ไม่ใช่เส้นทางเดินของชาวบ้านปกติ จึงอาจไม่ใช่ฝีมือของชาวบ้าน สวนทางกับการสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่ที่มักระบุเป็นการเผาเพื่อหาของป่าของคนในพื้นที่เนืองๆ


ไม่ว่าสาเหตุที่แท้จริงจะมาจากอะไร มีเรื่องผลประโยชน์จากป่าและต้นไม้เกี่ยวข้องหรือไม่ หรือหวังงบประมาณเพิ่มอย่างที่ลือกันในวงในหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เหตุการณ์ไฟไหม้ป่าที่เชียงใหม่ ครั้งนี้ มีจิตอาสาผู้ร่วมภารกิจดับไฟป่าเสียชีวิตแล้ว 2 ราย เป็นชาว อ.สันทราย และ อ.จอมทอง นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า แขวนคอตัวเองเสียชีวิตที่ อ.หางดง พร้อมจดหมายตัดพ้อปัญหาและการทำงานที่มีทั้งเด็กเส้นเด็กนาย


ไฟป่าที่เชียงใหม่ ซึ่งบางกระแสบอกสงบลงแล้ว แต่บางกระแสระบุยังคุกรุ่นไม่มอดไหม้และยังน่าเป็นห่วงอยู่ต่อไป ยังเป็นหนึ่งในหลายปัจจัยที่ทำให้เชียงใหม่และอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือเกิดภาวะฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ พีเอ็ม 2.5 ปกคลุม กระจายคละคลุ้งและส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศ การจราจร และการดำเนินชีวิตของผู้คน มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว


เมื่อรวมกับการเผาทำลายซังข้าวโพดที่บริษัทการเกษตรยักษ์ใหญ่บางรายส่งเสริมให้ปลูกเพื่อทำอาหารสัตว์ การลักลอบเผาป่าของชาวบ้านทั้งฝั่งประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการเผาทำลายขยะและควันจากท่อไอเสียรถเก่าจำนวนมาก ส่งผลให้ค่าดัชนีคุณภาพอากาศ หรือ เอคิวไอ ของจังหวัดเชียงใหม่และใกล้เคียง พุ่งสูงขึ้นอันดับหนึ่งของโลกหลายครั้งในปีนี้


เชียงใหม่ ซึ่งในอดีต เคยได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆของประเทศไทยจึงตกอยู่ในสภาพเมืองที่เงียบเหงาซบเซา เพราะสาระพัดปัจจัยประดังประเด




อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

กรณีป่าแหว่ง เราได้เห็นการผนึกกำลังร่วมแรงร่วมใจของทั้งชาวเชียงใหม่และกลุ่มคนที่รักการอนุรักษ์และหวงแหนพื้นที่ป่ามาแล้วครั้งหนึ่ง

ครั้งนี้ หวังว่าเรื่องจะไม่เงียบ หรือเลือนหายไปพร้อมกับควันไฟที่นับถอยหลังสู่วันดับมอด และคงไม่ยอมให้กระแสโควิด 19 มาเบียดบัง กระทั่งเรื่อง"ไฟป่าเชียงใหม่"เงียบหายไปเฉยๆ


ข้อเท็จจริงต้องมีมากกว่าจับชาวบ้านแค่หนึ่งคนยอมรับว่าเป็นต้นเหตุวางเพลิงเผาป่าครับ เพราะตอบโจทย์ไม่ได้จริงๆ