เปิดใจ "สาวแท้งลูก"! ถูก รพ.รัฐไล่ใช้สิทธิประกันสังคม (คลิป)

2019-11-06 17:55:27

เปิดใจ "สาวแท้งลูก"!  ถูก รพ.รัฐไล่ใช้สิทธิประกันสังคม (คลิป)

Advertisement

สาวตกเลือดโพสต์ระบายความในใจถูก รพ.รัฐไล่ให้ไปใช้สิทธิประกันสังคม หวิดเอาชีวิตไม่รอด ส่วนลูกในครรภ์ดับ

จากกรณีที่หญิงสาววัย 22 ปี ได้เขียนข้อความพร้อมรูปถ่ายมาโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ Sirikarn Ruamsampao โดยมีข้อความว่า หลังจากที่ตนได้เข้าไปรักษาตัวที่ รพ.รัฐแห่งหนึ่งใน อ.เมืองสมุทรปราการ ซึ่งอยู่ใกล้บ้านในอาการตกเลือดเกือบถึงแก่ชีวิต แต่หลังจากแพทย์ได้ทำการตรวจรักษาในเบื้องต้นซึ่งเด็กในครรภ์นั้นยังหัวใจเต้นตามปกติ ก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่ของรพ.จะผลักดันให้ตนเองให้นั่งรถแท๊กซี่ไปรักษาตัวที่ รพ.เอกชนอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็น รพ.ตามสิทธิประกันสังคม ซึ่งระหว่างนั้นตนปวดท้องมากจนแทบจะหมดสติ และถูกเข็นมาทิ้งไว้ข้างทางขึ้น รพ.ให้นั่งรถหรือติดต่อญาติให้มารับตัวไปรักษาที่ รพ.ตามสิทธิแประกันสังคม จนตนต้องเสียลูกในครรภ์ไป หลังข้อความดังกล่าวถูกโพสต์บนโลกโซนเชียล ได้รับความสนใจและมีการแชร์ไปตามสื่อต่างๆ และมีชาวเน็ตเข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก

กระทั่งเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับ น.ส.สิริกาญจน์ อายุ 22 ปี เจ้าของโพสต์ที่บ้านพักซึ่งอยู่ภายในซอยเจริญสุข ถนนจักรพาก ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดย น.ส.สิริกาญจน์ ได้เล่าว่า ตนตั้งครรภ์ได้ประมาณ 4 เดือนแล้ว เมื่อช่วงประมาณ 07.10 น. ของวันอาทิตย์ที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา ตนมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง และมีน้ำคล่ำและเลือดไหลออกจากช่องคลอด ทางสามีจึงรีบพาไปรพ.ของรัฐแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้บ้าน เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ของ รพ. ได้รีบนำตนเข้าห้องฉุกเฉิน และพาไปทำการอัลตร้าซาวด์เพื่อฟังเสียงหัวใจของลูกในครรภ์โดยผลการเต้นของหัวทารกที่อยู่ในครรภ์เป็นปกติ แต่ทางแพทย์ที่ทำการอัลตร้าซาวด์ ได้แนะนำว่าทางที่ดีเพื่อความปลอดภัยของเด็กในครรภ์ควรฉีดยาระงับคลอดและมีการเคลื่อนย้ายตนขึ้นไปพักบนตึกผู้ป่วยแต่เมื่อขึ้นไปบนตึกผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ของ รพ. กลับมาถามตนว่าทำไมตนไม่ไปรักษาที่ รพ.ที่ตนมีสิทธิรักษา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาและพยายามพูดย้ำว่าหากรักษาตัวที่ รพ.นี้จะต้องจ่ายค่ารักษาเอง พร้อมทั้งถามย้ำตนว่าจะย้ายโรงพยาบาลหรือไม่ ซึ่งในใจตนคิดว่าอาการตนหนักขนาดนี้ มีเลือดไหลมากขนาดนี้ทางโรงพยาบาล คงจะมีรถพยาบาลไปส่งยังโรงพยาบาลที่ตนมีสิทธิรักษาเพราะมีระยะทางห่างกันประมาณ 12 กิโลเมตร ซึ่งไม่ใช้ระยะทางที่ใกล้สำหรับผู้ป่วยอาการหนัก ตนจึงรับปากไปว่าจะย้ายโรงพยาบาลซึ่งตนเองก็ได้โทรศัพท์ไปปรึกษาคุณแม่และทางคุณแม่เองก็ถามย้ำว่าตนไหวเหรอ ซึ่งตนได้ตอบแม่ไปว่าไม่ไหวก็ต้องไหว เพราะทางเจ้าหน้าที่เขาให้ย้าย




จากนั้นเวลาประมาณ 09.00 น.ตนได้โทรศัพท์ไปตามพี่สะใภ้ให้มาอยู่เป็นเพื่อนและมีทางเจ้าหน้าที่ของ รพ.พาตนนั่งรถเข็นของ รพ. ลงรอเรียกรถแท็กซี่ที่หน้า รพ.จุดรับส่งผู้ป่วยจนพี่สะใภ้ทนเห็นสภาพตนไม่ไหว จึงได้โวยวายขึ้นว่าผู้ป่วยหนักขนาดนี้ไม่มีรถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแต่กลับให้เรียกรถแท็กซี่ย้าย รพ.เอง และในระหว่างทางที่ตนนั่งรถแท็กซี่ไปถึง รพ.ที่มีสิทธิประกันสังคม ก็ได้คลอดลูกออกมาและเสียชีวิตลงในเวลาประมาณ 10.00 น. โดยตนเองเสียเลือดมากจนต้องมีการรับบริจาคเลือด ล่าสุดอาการปลอดภัยและได้ออกจาก รพ.

อย่างไรก็ตามในส่วนเรื่องลูกของตนนั้น ตนทำใจไว้แล้ว เนื่องจากทางห้องฉุกเฉินของ รพ.รัฐได้แจ้งว่า ถ้าจะยื้อชีวิตต้องให้ยาระงับคลอด ซึ่งตนเองก็ยังมีความหวังแต่ที่ติดใจ ก็เรื่องที่ละเลยคนไข้และทำไมต้องย้าย รพ.เร่งด่วนขนาดนั้น ทั้งที่ตนเองก็ยินดีที่จะจ่ายเงินเองอยู่แล้วเพราะตนห่วงชีวิตของตัวเองเหมือนกัน ทั้งนี้อยากเตือน การเลือกโรงพยาบาล ก็ควรที่ศึกษาขั้นตอนการเข้ารักษาเพราะแม้ตนป่วยฉุกเฉินก็ยังถูกละเลยเพราะเพียงสาเหตุที่ตนไม่ใช่คนไข้ที่มีสิทธิรักษาที่ รพ.เท่านั้น



ที่ตนติดใจมากที่สุดก็คือคำพูด มันไม่ใช่แค่แผนกเดียว ไม่ใช่แค่ชุดนั้นที่ตนเจอแต่หลายชุดหลายเคสแล้ว ตนพาลูกไปหาหมอก็ใช้คำพูดที่แย่มาก คือพูดเลยว่าแย่ และเป็นโรงพยาบาลที่ใช้สัญญาลักษณ์ของจังหวัดด้วยและติดใจอีกหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องสิทธิ์การรักษาติดใจมาก ตนมีประกันสังคมก็จริงแล้วเคสฉุกเฉินตนเลือกเข้า รพ.ไหนก็ได้ แต่ทำไม รพ.นี้ถึงเลือกปฏิเสธที่จะรับตนเพราะอะไร

ด้าน นพ.ปฎิวัติ วงศ์งาม รอง ผอ.ฝ่ายการแพทย์ 2 รพ.สมุทรปราการ ออกมายืนยันว่า โรงพยาบาลไม่มีนโยบายปฎิเสธคนไข้ แต่คนไข้เลือกเองตามข้อมูลที่ทางเราให้ ยอมรับว่าการสื่อสารอาจจะผิดพลาด จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด