ภาพซากต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ยืนต้นตาย หรือเป็นตอดำ ที่เห็นทั้งหมดอยู่ในผืนป่าอเมซอน หลังถูกไฟป่าเผาผลาญอย่างหนัก ซึ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับประชาคมระหว่างประเทศ เพราะเป็นไฟป่าครั้งเลวร้ายที่สุดในป่าอเมซอน ป่าดิบชื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยิ่งโหมให้เกิดวิกฤตสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น
ท่ามกลางกระแสความวิตกกังวลและเสียงประณามจากทั่วโลก ประธานาธิบดีจาอีร์ โบลโซนาโร ผู้นำบราซิล ให้คำมั่นระหว่างกล่าวปราศรัยต่อประชาชนในประเทศ ว่าได้สั่งระดมกำลังทหารเข้าไปช่วยดับไฟป่าอเมซอนแล้ว ขณะเดียวกัน รัฐบาลของเขาก็เริ่มปฏิบัติการหว่านเสน่ห์เชิงรุก หรือ sharm offensive เพื่อพยายามสร้างสะพานเชื่อมความเข้าใจกับต่างประเทศ
ทั้งนี้ ไฟป่าในผืนป่าอเมซอนในบราซิล ซึ่งครอบครองพื้นที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของผืนป่าดิบชื้นที่ใหญ่ที่สุดของโลกแห่งนี้ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 83 ในปีนี้ ทำลายผืนป่าที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในการต่อสู้กับปัญหาโลกร้อน
บรรดานักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เตือนแล้วว่า แผนการที่สร้างปัญหาของผู้นำบราซิลในการสนับสนุนการเพิ่มพื้นที่ทำการเกษตรและทำเหมืองในภูมิภาคแห่งนี้ จะเร่งให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าให้เร็วขึ้น
สำนักงานวิจัยอวกาศแห่งชาติของบราซิล หรือไอเอ็นพีอี ตรวจสอบพบว่า ไฟป่าเกิดขึ้นในป่าอเมซอน 72,843 จุด ในปีนี้ สูงที่สุดตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกสถิติในปี 2556 และจากภาพถ่ายดาวเทียมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพียงสัปดาห์เดียว ไฟป่าอเมซอน เกิดขึ้นมากกว่า 9,500 จุด
แม้ว่าไฟป่ามักเกิดขึ้นเป็นปกติและเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติในช่วงฤดูแล้งของทุกปี แต่กลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ก็ประณามการตัดไม้ทำลายป่า ของกลุ่มเกษตรกรเพื่อทำเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะกลุ่มเกษตรกรอ้างได้รับการส่งเสริมจากนโยบายของประธานาธิบดีโบลโซนาโร ที่เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
นายโบลโซนาโร ย้ำว่า เขาเชื่อว่า บราซิลควรจะเปิดป่าอเมซอนเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ อนุญาตให้บรรดาบริษัทเหมือง, การเกษตรและป่าไม้ เข้าไปใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในป่าอเมซอน