กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ชี้ข่าว “ไมโครเวฟอันตรายร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณู” ไม่เป็นความจริง วอนหยุดแชร์
กรณีที่โลกออนไลน์มีการแชร์ข้อมูลว่า รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจเลิกใช้เตาไมโครเวฟก่อนสิ้นปีนี้ หากฝ่าฝืนจะต้องถูกปรับและอาจติดคุก เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮิโรชิมา ค้นพบคลื่นที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเตาไมโครเวฟ ซึ่งอันตรายร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ ในปี ค.ศ. 1945 นั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง เป็นข่าวปลอมที่ก่อให้เกิดความสับสน เนื่องจากหลักการทำงานของเตาไมโครเวฟเป็นการใช้คลื่นไมโครเวฟผ่านเข้าไปในอาหาร ซึ่งจะทำให้เกิดการสั่นของโมเลกุลของน้ำในอาหาร เมื่อโมเลกุลของน้ำสั่นจะเกิดความร้อนขึ้นจนทำให้อาหารสุก จะเห็นว่ากลไกการทำงานไม่มีรังสีเกิดขึ้น จึงไม่มีการตกค้างของรังสีใดๆ ทั้งสิ้น
ดังนั้น เรื่องราวในสื่อออนไลน์นจึงไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ อันตรายที่กล่าวอ้างไม่เป็นความจริง เมื่อใช้เตาไมโครเวฟอุ่นอาหารเสร็จ ควรเปิดประตูเครื่อง คลื่นไมโครเวฟก็หมดไปไม่มีการตกค้าง
ทั้งนี้ คลื่นไมโครเวฟที่ออกมาจากเตาไมโครเวฟนั้น เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดการแตกตัว ไม่ทำให้โมเลกุลของสารเปลี่ยน และไม่มีการตกค้างจึงไม่มีอันตราย อีกทั้งมีโอกาสน้อยมากที่เตาไมโครเวฟจะมีคลื่นรั่วออกมาเกินจากระดับมาตรฐาน มอก.กำหนด จึงขอวอนประชาชนหยุดแชร์และอย่าหลงเชื่อข่าวดังกล่าว