ทรัมป์เตรียมจับเข่าคุยสี จิ้นผิง ก่อนสงครามการค้าทำ ศก.โลกทรุด

2019-05-14 08:20:04

ทรัมป์เตรียมจับเข่าคุยสี จิ้นผิง ก่อนสงครามการค้าทำ ศก.โลกทรุด

Advertisement

นักลงทุนผวาและตลาดหุ้นโลกสะเทือนกับเค้าลางสงครามการค้าเต็มรูปแบบระหว่างสหรัฐและจีน 2 ชาติมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก หลังจากทั้ง 2 ประเทศต่างประกาศขึ้นภาษีตอบโต้กัน ซึ่งหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกแน่

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า เขาจะพบหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ในเดือนหน้า ขณะที่สงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลก ตึงเครียดอย่างหนัก ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกสั่นคลอน โดยจีนประกาศก่อนหน้านี้ว่า จะตอบโต้สหรัฐด้วยการปรับขึ้นกำแพงภาษีสินค้าสหรัฐหลากหลายชนิด ซึ่งรวมทั้งผักสดแช่แข็ง และก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจี เป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นหลังการตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของจีน มูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,335,428 ล้านบาท







สำนักงานผู้แทนเจรจาการค้าของสหรัฐ แถลงในเวลาต่อมาว่า สหรัฐมีแผนการจัดแสดงประชามติในเดือนหน้า เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เป็นร้อยละ 25 คิดเป็นมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 9,503,143 ล้านบาท โดยมีโทรศัพท์มือถือและแลปท็อป รวมอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่ต้องปรับขึ้นภาษีด้วย ยกเว้นยารักษาโรค

แนวโน้มที่สหรัฐและจีนกำลังถลำเข้าสู่กรณีพิพาทเต็มรูปแบบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกนั้น เขย่าขวัญบรรดานักลงทุน และนำไปสู่การเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อย่างหนักหน่วงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นโลกดิ่งลงเพิ่มอีกร้อยละ 1.9 เมื่อวันจันทร์ ซึ่งเป็นการร่วงลงรุนแรงที่สุดในหนึ่งวันในรอบมากกว่า 5 เดือน ขณะที่ค่าเงินหยวนของจีน ก็ลดลงแตะระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีที่แล้ว และราคาน้ำมันล่วงหน้า ก็ร่วงลงเช่นกัน



ทรัมป์ ซึ่งใช้มาตรการคุ้มครองการค้า เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “อเมริกามาก่อน” หรืออเมริกา เฟิร์สต์ กล่าวว่า เขาจะเจรจากับสีในที่ประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศจี20 ในญี่ปุ่นปลายเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งเขาคิดว่า บางทีการประชุมอาจประสบความสำเร็จอย่างมาก

ด้านนายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทูตระดับสูงของรัฐบาลจีน กล่าวระหว่างเยือนรัสเซียว่า การเจรจาระหว่างจีนกับสหรัฐ ไม่ใช่ “ถนนแบบเดินรถทางเดียว” หรือวันเวย์ และมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการบนพื้นฐานของความเท่าเทียม ทีมเจรจาของทั้ง 2 ประเทศ มีความสามารถและสติปัญญา ในการแก้ปัญหาข้อเรียกร้องอย่างมีเหตุผลของแต่ละฝ่าย และนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงเพื่อผลประโยชน์ของกันและกันแบบเท่าเทียม