"อเล็กซ์ อัลบอน" เด็กไทยคนแรกสู่นักขับ F1

2019-02-27 16:55:57

"อเล็กซ์ อัลบอน" เด็กไทยคนแรกสู่นักขับ F1

Advertisement

วงการมอเตอร์สปอร์ตของไทยเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันกับการมีสนามแข่งขันระดับโลกอย่าง ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่ จ.บุรีรัมย์ ตลอดจนการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันระดับนานาชาติที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


เส้นทางชีวิตของ อเล็กซ์ อัลบอน หนุ่มวัย 22 ปี อาจจะทำให้คุณต้องทึ่งกว่าข่าวที่ปรากฎเสียอีก เพราะกว่าที่ฝันจะเป็นจริงนั้น เขาต้องผ่านเรื่องราวสุดพลิกผันมากมาย แต่ที่สุดแล้วข่าวที่ทำให้แฟนกีฬาความเร็วชาวไทยต้องตื่นเต้นก็มาถึง เมื่อ โตโรรอสโซ่ ประกาศว่า อเล็กซ์ อัลบอน นักซิ่งลูกครึ่งไทย-อังกฤษ จะมาเป็นหนึ่งในนักขับของทีมในการแข่งขัน F1 ฤดูกาล 2019 ทว่าหากนับเฉพาะในส่วนของนักแข่งกลับพบว่า นับตั้งแต่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ที่ทรงลงแข่งขันรถสูตรหนึ่งในช่วงปี 1950 เรายังไม่เคยมีนักแข่งไทยคนใดที่ได้ลงแข่งในเวทีระดับสุดยอดของโลกอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นในโลก 4 ล้ออย่างรถสูตรหนึ่ง หรือ 2 ล้ออย่าง โมโตจีพี

เห็นชื่อที่ดูเป็นฝรั่งเช่นนี้ หลายคนอาจสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในจุดไหน แต่หากเห็นอีกนามสกุลของเจ้าตัวเชื่อว่าน่าจะหายสงสัย เพราะนามสกุล อังศุสิงห์ ของเขานั้นมีที่มาจาก คุณแม่กัญญ์กมล ซึ่งเป็นคนไทยและหากจะหาว่าเหตุใดอเล็กซ์ถึงมีฝีมือการซิ่งเก่งขนาดนี้ คำว่ามันอยู่ในสายเลือด น่าจะเป็นคำตอบที่ตรงที่สุด เมื่อ คุณพ่อไนเจล ชาวอังกฤษ เคยเป็นนักแข่งรายการ บริติช ทัวริ่งคาร์ แชมเปี้ยนชิพ (BTCC) รวมถึง ปอร์เช่ คาร์เรร่าคัพ เอเชีย มาก่อน ซึ่งกรรมพันธุ์คนรักความเร็วของเขาเห็นได้ชัดตั้งแต่เด็ก เมื่อเจ้าตัวเคยเผยกับสื่อไทยว่า คำแรกที่พูดได้ไม่ใช่ Mom หรือ Dad เหมือนคนอื่น แต่เป็นคำว่า Ferrari ค่ายม้าลำพองจากอิตาลี แถมฝีมือและเส้นทางบนถนนสายความเร็วของเขาก็ไปไกลกว่าคุณพ่อเสียแล้ว

นอกจากจะมีคุณพ่อเป็นแรงบันดาลใจแล้วเขายังมีอีกหนึ่งไอดอลคนสำคัญที่คุณแม่มักต้องเรียกเขาด้วยชื่อของชายผู้นี้อยู่บ่อยครั้งเวลาที่ต้องการให้เชื่อฟังคำสอน นั่นคือ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ตำนานวงการรถสูตรหนึ่ง ผู้คว้าแชมป์โลกมากที่สุดถึง 7 สมัยนั่นเอง


ส่วนจุดเริ่มต้นบนเส้นทางสายนักแข่งของอเล็กซ์ก็ไม่ต่างจากไอดอลอย่างชูมี่ เมื่อเขาเริ่มลงแข่งรถโกคาร์ทเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2005 ด้วยวัยเพียง 8 ขวบ ก่อนจะสร้างชื่อด้วยการคว้าแชมป์ในหลายรายการ ทั้งในอังกฤษที่เป็นบ้านเกิด ทวีปยุโรป รวมถึงระดับโลก โดยจุดสูงสุดของอเล็กซ์กับการแข่งรถโกคาร์ต คือการคว้าแชมป์ยุโรปและแชมป์โลกในคลาส KF3 สำหรับความฝันของอเล็กซ์คือการได้เป็นนักแข่งรถฟอร์มูล่า 1 และผลงานในการแข่งรถโกคาร์ทก็ได้ต้องตาทีมรถสูตรหนึ่ง ซึ่งมีความผูกพันกับประเทศไทยเข้าอย่างจัง

ในเดือน เม.ษ. ปี 2012 ทีม เร้ดบูล เรซซิ่ง หนึ่งในมหาอำนาจแห่งวงการรถสูตรหนึ่ง ทำให้คนรักความเร็วทั่วประเทศไทยต้องใจสั่นไหว เมื่อประกาศว่าพวกเขาได้เซ็นสัญญา อเล็กซ์ อัลบอน เด็กลูกครึ่ง ไทย-อังกฤษ วัย 16 ปีในขณะนั้น ร่วมโปรแกรมนักแข่งเยาวชนของทีม พร้อมกับการเลื่อนขั้นไปแข่งขันรถล้อเปิดเป็นครั้งแรกในรายการ ฟอร์มูล่า เรโนลต์ 2.0 ทว่าโลกแห่งความจริงนั้นไม่สวยหรูเหมือนภาพที่วาดไว้ เมื่ออเล็กซ์ประสบกับปัญหาในการปรับตัวกับรถแข่งรูปแบบใหม่อย่างหนักและต้องยอมรับว่า ปี 2012 คือปีที่แย่ที่สุดในชีวิตการเป็นนักแข่ง เมื่อเขาไม่สามารถเก็บได้แม้แต่เพียงคะแนนเดียวในการแข่งขัน ฟอร์มูล่า เรโนลต์ 2.0 ยูโรคัพ กับทีม เอพิค เรซซิ่ง ถึงแม้จะมีสัญชาติเดียวกับนายทุนผู้ให้การสนับสนุน แต่ที่สุดแล้วผลงานในสนามก็เป็นเครื่องชี้วัดทุกอย่าง นั่นทำให้ช่วงเวลาของอเล็กซ์กับการเป็นนักแข่งเยาวชนของทีมเร้ดบูลนั้นสั้นเพียงปีเดียวเท่านั้น


อเล็กซ์เปิดใจถึงตอนที่ต้องออกจากโปรแกรมนักแข่งเยาวชนของทีมเร้ดบูลว่า “รู้สึกแย่เอามากๆ ทว่าเมื่อไม่อาจสร้างผลงานที่ดีได้ การถูกถอดออกจากทีมนั้นก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา” แต่กำลังใจและการสนับสนุนจากคนรอบข้าง ก็ทำให้เขากลับมาสู้ต่ออีกครั้ง และในปี 2013 เจ้าตัวได้รับโอกาสจากทีม KTR ให้พิสูจน์ตัวเองในการแข่งขันรายการเดิม ซึ่งความผิดพลาดจากปีก่อนได้ทำให้เขามีประสบการณ์มากขึ้น เมื่อเขาสามารถเก็บคะแนนได้สำเร็จเป็นปีแรก จบฤดูกาลด้วยอันดับ 16 บนตารางคะแนน ก่อนจะทำผลงานได้ดีขึ้นอีกในปีถัดมา เมื่อเขาสามารถขึ้นโพเดี้ยมได้ถึง 3 ครั้ง และสามารถเก็บคะแนนสะสมได้เกือบทุกเรซที่ลงแข่ง จนคว้าอันดับ 3 ในตารางคะแนนสะสมได้สำเร็จ


ต่อมาในปี 2015 อเล็กซ์ได้รับโอกาสไปลงแข่งในระดับที่สูงกว่ากับรายการ ฟอร์มูล่า 3 ชิงแชมป์ยุโรป ในสังกัดทีม ซิกเนเจอร์ ซึ่งแม้จะประสบกับปัญหาจนไม่จบการแข่งขันอยู่บ้าง แต่ก็ยังทำผลงานได้สม่ำเสมอกับการขึ้นโพเดี้ยม 4 ครั้ง จบฤดูกาลด้วยอันดับ 7ซึ่งผลงานดังกล่าวทำให้ทีม ART กรังด์ปรีซ์ ตัดสินใจดึงเขาไปแข่งในรายการ GP3 ปี 2016 ซึ่งถือเป็นปีที่แจ้งเกิดในการแข่งรถล้อเปิดอย่างแท้จริง เมื่อเขาสามารถคว้าชัยชนะได้ถึง 4 เรซ ขึ้นโพเดี้ยมอีก 3 ครั้ง และต่อสู้แย่งตำแหน่งแชมป์ประจำปีกับ ชาร์ลส เลอแคลร์ เพื่อนร่วมทีมชาวโมนาโกซึ่งมีดีกรีเป็นเด็กฝึกทีม เฟอร์รารี่ ได้อย่างสูสี แต่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในสนามสุดท้าย ซึ่งเขาไม่จบการแข่งขันทั้งสองเรซ ทำให้อเล็กซ์พลาดตำแหน่งแชมป์โลกไปอย่างน่าเสียดาย

“ในความคิดของผมการเป็นนักแข่งระดับฟอร์มูล่า 1 คุณต้องเริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อย ผมไม่ควรใช้เวลาหลายปีกับการแข่งขันระดับเดิม หากทำผลงานได้ดีคุณจะมีเงินสนับสนุนมากพอเพื่อสั่งสมประสบการณ์ ในปีแรกที่คุณเป็นนักขับหน้าใหม่ต้องเรียนรู้ให้มากที่สุด พอเข้าสู่ปีที่ 2 ต้องทำผลงานให้ดีเพื่อก้าวไปสู่อีกขั้น หากทำได้ตามนี้ ผมเชื่อว่าโอกาสจะขับรถ F1 คงอยู่อีกไม่ไกล” นี่คือสิ่งที่อเล็กซ์เปิดใจกับ กรังด์ปรีซ์ อีกสื่อสายรถยนต์ชั้นแนวหน้าของไทย




และจากผลงานอันยอดเยี่ยมระดับรองแชมป์โลกของศึก GP3 ทำให้ทีม ART ตัดสินใจดึงตัวอเล็กซ์ขึ้นมาแข่งกับทีมต่อในการแข่งขัน ฟอร์มูล่า 2 ซึ่งถือเป็นบันไดขั้นสุดท้ายก่อนถึงรถสูตรหนึ่ง โดยแม้ฤดูกาล 2017 สำหรับเขาจะถือเป็นช่วงเวลาแห่งการปรับตัว แต่ผลงานของเขาก็ถือว่าไม่เลว ด้วยการเก็บคะแนนได้อย่างต่อเนื่องในช่วงแรก และแม้อาการกระดูกไหปลาร้าหักจากการปั่นจักรยานจะทำให้เขามีผลงานที่ตกไปบ้างในช่วงหลังของฤดูกาล แต่การขึ้นโพเดี้ยมอันดับสอง 2 ครั้ง ก็ทำให้เจ้าตัวจบฤดูกาลในอันดับ 10


เข้าสู่ฤดูกาล 2018 ซึ่งเป็นปีที่ 2 ในรุ่น F2 แม้ตัวอเล็กซ์จะต้องเปลี่ยนสังกัดไปอยู่กับทีม DAMS แต่เป้าหมายยังคงเหมือนเดิมคือต้องทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อเข้าใกล้การแข่งรถสูตรหนึ่งให้มากขึ้นไปอีก ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้อย่างที่ตั้งใจ ด้วยการชนะไปแล้ว 4 เรซ ที่ บากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน อันเป็นสนามแรกที่เจ้าตัวชนะรุ่นนี้ ซิลเวอร์สโตน ในอังกฤษ ประเทศบ้านเกิดของเขา ฮังการี และ โซชิ ประเทศรัสเซีย ทำให้มีโอกาสลุ้นแชมป์โลกรายการนี้กับนักแข่งที่เป็นเด็กสร้างของทีมดังๆ อย่าง จอร์จ รัสเซลล์ และ แลนโด นอร์ริส 2 นักซิ่งอังกฤษที่มีทีม เมอร์เซเดส และ แม็คลาเรน ให้การหนุนหลังตามลำดับ ถึงกระนั้นมอเตอร์สปอร์ตก็เป็นกีฬาที่นอกจากจะวัดกันที่ความสามารถของนักขับแล้ว ยังวัดกันที่ตัวรถอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเขาเท่าไหร่ เมื่อมีอยู่หลายสนามที่รถคู่ใจของเขาประสบกับปัญหาจนไม่จบการแข่งขัน ทำให้เสียคะแนนสะสมที่พึงจะได้ไปไม่น้อย อย่างไรก็ตาม การจบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ของศึก F2 ก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีแล้วว่า อเล็กซ์ อัลบอน พร้อมแล้วสำหรับเวทีที่ใหญ่ที่สุดในโลกความเร็วอย่าง F1


ถึงแม้ผลงานในอดีตจะเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือได้ดีระดับหนึ่ง แต่สำหรับวงการรถสูตรหนึ่ง บางครั้งฝีมืออย่างเดียวก็ไม่พอ เพราะด้วยงบประมาณการทำทีมที่สูงเกิน 100 ล้านปอนด์ต่อปี แต่ส่วนแบ่งรายได้ของทีมระดับท็อปกับทีมระดับกลางและล่างกลับแตกต่างกันมาก เราจึงมักได้ยินข่าวทีมแข่งที่ประสบปัญหาทางการเงิน หรือหนักหน่อยก็ถึงขั้นยุบทีมอยู่บ่อยครั้งในวงการนี้ ทำให้ สปอนเซอร์ กลายเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยที่จะทำให้ทีมอยู่รอด และยิ่งนักขับคนนั้นสามารถดึงดูดเงินจากผู้สนับสนุนได้ พวกเขาก็ยิ่งมีแต้มต่อในการจะได้ที่นั่งใน F1 มากขึ้น ทว่าตัวของอเล็กซ์นั้นดูจะเสียเปรียบกับเรื่องนี้ไม่น้อย เมื่อสปอนเซอร์ส่วนตัวของเขาดูจะเงินถุงเงินถังไม่พอเมื่อเทียบกับนักแข่งอีกหลายคน ประตูสู่ทีมรถสูตรหนึ่งหลายๆ ทีมจึงแทบจะถูกปิดตายโดยปริยาย ที่สุดแล้วก็ดูจะมีเพียงทีมเดียวเท่านั้น ที่น่าจะเปิดโอกาสให้กับนักแข่งหน้าใหม่โดยที่ไม่สนว่าใครคนนั้นจะมีสปอนเซอร์ส่วนตัวติดมาด้วยหรือไม่ นั่นคือ โตโรรอสโซ่ ทีมน้องของ เร้ดบูล เรซซิ่ง ซึ่งอเล็กซ์เคยเป็นนักแข่งเยาวชนเมื่อปี 2012 นั่นเอง


และในฤดูกาล 2019 ที่กำลังจะมาถึง ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อมีการย้ายตัวนักแข่งจากทีมหนึ่งไปสู่อีกทีมหนึ่งมากมาย



ทว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กลับทำให้ทีมโตโรรอสโซ่ประสบปัญหาอยู่ไม่น้อย เมื่อนักแข่งเบอร์ 1 ในทีมอย่าง ปิแอร์ แกสลี่ ถูกทีมแม่อย่าง เร้ดบูล เรซซิ่ง เรียกตัวไปขับให้ทีมแทน แดเนี่ยล ริคคิอาร์โด้ ซึ่งออกไปอยู่ทีมเรโนลต์ ทำให้โตโรรอสโซ่ต้องมีการเปลี่ยนนักแข่งใหม่ โดยตำแหน่งของแกสลี่ พวกเขาตัดสินใจเรียกตัว แดเนี่ยล คิวิยาต นักแข่งชาวรัสเซียที่เคยเป็นเด็กปั้นของเร้ดบูล แต่โดนปลดจากสไตล์การขับสุดเสี่ยงกลับมาพิสูจน์ฝีมืออีกครั้ง ส่วนอีกตำแหน่งด้วยตัวเลือกที่มีจำกัดที่สุดแล้ว พวกเขาก็ต้องหันกลับมาหาอเล็กซ์อดีตเด็กปั้นของทีมและแม้จะต้องมีการเจรจาเพื่อฉีกสัญญากับทีมนิสสันใน FE แต่ทุกฝ่ายต่างก็เข้าใจว่า การได้แข่ง F1 ถือเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการสักครั้ง และในที่สุดแล้ว เรื่องราวก็จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง โตโรรอสโซ่ ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า อเล็กซ์ อัลบอน นักแข่งลูกครึ่งไทย-อังกฤษ จะมาขับให้กับทีมในฤดูกาล 2019 สมอย่างที่แฟนกีฬาความเร็วชาวไทยรอคอยมานานเสียที