ศาลในเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เปิดเผยการไต่สวนเมื่อวันศุกร์ ระบุว่า น.ส.เมิ่ง หว่านโจว หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และรองประธานของบริษัท “หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ โค จำกัด” ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของจีน เผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาฉ้อโกงในสหรัฐ
เมิ่ง หว่านโจว บุตรสาวของผู้ก่อตั้งหัวเว่ย ถูกกล่าวหาว่าละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐต่ออิหร่าน เธอถูกจับกุมตัวในเมืองแวนคูเวอร์เมื่อวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม และอาจถูกส่งตัวไปยังสหรัฐ ขณะที่จีนก็เรียกร้องให้ปล่อยตัวเธอ พร้อมยืนกรานว่า เธอไม่ได้ละเมิดกฎหมายใด ๆ ศาลกำลังพิจารณาว่า จะอนุญาตให้ประกันตัวเธอหรือไม่
การควบคุมตัวเธอถูกเผยแพร่สู่สาธารณชนในวันพุธที่ผ่านมา แต่รายละเอียดจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจน เพราะเธอขอร้องไม่ให้เปิดเผยต่อสาธารณชน แต่ขณะนี้ ศาลก็เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับคดีบ้างแล้ว โดยเมื่อวันศุกร์ ศาลสูงบริทิช โคลัมเบีย ของแคนาดา ได้รับแจ้งว่า เมิ่ง หว่านโจว ใช้บริษัทลูกของหัวเว่ย คือสกายคอม (Skycom) ในฮ่องกง หลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน ระหว่างปี 2552-2557 ศาลยังบอกด้วยว่า เธอปกปิดสาธารณชนด้วยการให้ข้อมูลผิด ๆ ว่าสกายคอม เป็นเป็นบริษัทที่แยกกันต่างหากกับหัวเว่ย
ศาลแคนาดา บอกว่า เมิ่ง อาจถูกลงโทษจำคุกนาน 30 ปีในสหรัฐ หากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงตามข้อหาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวที่ศาล รายงานว่า เธอไม่ได้ถูกใส่กุญแจมือขณะเข้ารับฟังการไต่สวน ทนายความของรัฐบาลแคนาดา กล่าวว่า เมิ่งถูกกล่าวหาว่า สมรู้ร่วมคิดฉ้อโกงสถาบันการเงินหลายแห่ง โดยเธอปฏิเสธนายธนาคารของสหรัฐเกี่ยวกับการเชื่อมโยงกันโดยตรงระหว่างหัวเว่ยและสกายคอม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว “สกายคอม ก็คือ หัวเว่ย
ทนายความของรัฐบาล ยังบอกด้วยว่า เมิ่งอาจเสี่ยงที่จะหลบหนีได้ จึงแนะนำศาลควรปฏิเสธการให้ประกันตัว
การไต่สวนเมื่อวันศุกร์ จะเป็นการพิจารณาว่าจะให้ปล่อย หรือคัดค้านการปล่อยตัวเมิ่ง ขณะคดีของเธอยังอยู่ในกระบวนการ ทั้งนี้ ผู้พิพากษาอาจปล่อยตัวเธอโดยมีเงื่อนไข ซึ่งต้องเป็นเงื่อนไขที่เข้มงวดด้วย หรือไม่ก็ตัดสินใจควบคุมตัวเธอไว้ในคุกต่อไป ระหว่างการพิจารณาคดี
สหรัฐมีเวลา 60 วันในการยื่นขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเป็นทางการ ซึ่งผู้พิพากษาแคนาดาจะตัดสินว่า มีหลักฐานหนักแน่นมากพอในการกล่าวหาเมิ่งหรือไม่ จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรียุติธรรมแคนาดาว่าจะตัดสินใจส่งเธอไปดำเนินคดีในสหรัฐหรือไม่
ข่าวการจับกุมตัวเมิ่ง ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากเกรงว่า อาจเป็นการขยายสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังการบรรลุข้อตกลงสงบศึกระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เมื่อวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ระหว่างเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำจี 20 ในกรุงบัวโนส ไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา