เปิดปม “คำสั่งตายข้ามชาติ” ฉบับซาอุฯ ฆ่าปิดปาก "จามาล คาช็อกกี"

2018-10-16 16:15:05

เปิดปม “คำสั่งตายข้ามชาติ” ฉบับซาอุฯ  ฆ่าปิดปาก "จามาล คาช็อกกี"

Advertisement

ถ้าเป็นนิยาย ก็ต้องเป็นนิยายแนวฆาตกรรม สอบสวนสืบสวน แต่นี่คือเรื่องจริง ไม่ได้อิงนิยาย กับนักข่าวคนเดียวที่สั่นคลอนรัฐบาลซาอุฯ เศรษฐีน้ำมันได้ถึงขนาดต้องส่งทีมสังหารข้ามชาติ เพื่อฆ่าปิดปากเขา ไม่ให้ปูดความลับที่สำคัญยิ่งยวด ซึ่งอาจหมายถึงอนาคตของประเทศ ปล่อยให้ความลับตายไปเขา

จามาล คาช็อกกี นักข่าวชื่อดัง ซึ่งเป็นผู้ที่รายงานเหตุการณ์สำคัญ ๆ หลายเรื่อง ทั้งการบุกอัฟกานิสถานของสหภาพโซเวียต และการก่อเกิดของนายโอซามา บิน ลาเดน อดีตจอมวายร้ายหมายเลข 1 หัวหน้าเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ให้กับสำนักข่าวหลายสำนักของซาอุดีอาระเบีย และที่สำคัญเขาคือผู้ที่เขียนคอลัมน์วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซาอุฯ ชุดปัจจุบันอย่างถึงพริกถึงขิง เรียกได้ว่าไม่ต้องเผาผีกันเลยทีเดียว เขายังเคยเป็นที่ปรึกษาให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของซาอุฯ แต่ในเวลาต่อมาก็มีอันต้องหลุดพ้นจากความโปรดปรานของรัฐบาล






เขาขอลี้ภัยพาตัวเองไปอยู่ในสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว และได้เขียนบทความลงในคอลัมน์รายเดือนหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ซึ่งวิจารณ์นโยบายของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งราชวงศ์ซาอุฯ โดยในคอลัมน์แรกของเขาที่เขียนให้กับวอชิงตัน โพสต์ นายคาช็อกกี บอกว่า เขากลัวถูกจับกุมในเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นการกวาดล้าง ผู้มีความคิดเห็นขัดแย้งและต่อต้านเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ตั้งแต่พระองค์ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับแรกในลำดับที่จะได้ขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากกษัตริย์ซัลมาน พระราชบิดา เมื่อต้นปีที่แล้ว ซึ่งมีผู้คนถูกจับหลายคน ล้วนเป็นพวกที่มีแนวคิดต่อต้านพระองค์ทั้งสิ้น พวกเขามีเพียง “จิตใจ” เท่านั้นที่เป็นอิสระ ส่วนการเคลื่อนไหวอื่น ๆ ล้วนอยู่ในวงล้อมการ “กระชับอำนาจ” ของเจ้าชายหนุ่ม กระดิกกระเดี้ยไม่ได้ (เขาให้สัมภาษณ์รายการชั่วโมงข่าวของบีบีซี เพียง 3 วันก่อนหายตัวไป)

คาช็อกกี อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในซาอุฯ ซึ่งลี้ภัยอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มานานกว่า 1 ปีแล้ว หลังจากเขากล่าวว่า ทางการซาอุฯ สั่งให้เขาเลิกทวิตข้อความที่จะส่งผลเสียต่อรัฐบาล ในฐานะที่เป็นนักข่าว คาช็อกกี มีโอกาสได้สัมภาษณ์นายบิน ลาเดน หลายครั้งทั้งในอัฟกานิสถาน และซูดาน เขาเคยให้คำแนะนำเจ้าชายเตอร์กี อัล-ไฟซาล อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองซาอุฯ และเอกอัครราชทูตประจำสหรัฐและอังกฤษ และยังมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าชายอัลวาลีด บิน ทาลาล เจ้าชายมหาเศรษฐีนักลงทุน





เมื่อปีที่แล้ว คาช็อกกี เขียนคอลัมน์ลงในหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ตามปกติ แน่นอนว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลซาอุฯที่มีต่อกาตาร์ และแคนาดา, สงครามในเยเมน และการกวาดล้างกลุ่มผู้มีความคิดต่าง, สื่อและนักเคลื่อนไหว ซึ่งมีนักเคลื่อนไหว, นักวิชาการและผู้นำทางศาสนาหลายสิบคน ถูกควบคุมตัว

ช่วงบ่ายของวันอังคารที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา คาช็อกกี พร้อม น.ส.ฮาติซ เซนกิซ คู่หมั้นสาวชาวตุรกี เดินทางไปยังสถานกงสุลซาอุฯ ในเมืองอิสตันบูล เพื่อไปรับเอกสารเกี่ยวกับการหย่าของเขา เพื่อจะแต่งงานใหม่ได้ ซึ่งเขาเข้าไปคนเดียว โดยหารู้ไม่ว่า “มัจจุราช” ทีมสังหารที่ส่งตรงจากซาอุฯ รอเชือดเขาอยู่ข้างใน



เซนกิซ ยืนรอเขาอยู่นอกสถานกงสุลจากเวลาประมาณ 13.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับ 17.00 น.ของวันเดียวกันตามเวลาในไทย แต่กลับไม่เห็นเขากลับออกมาจากสถานกงสุลอีกเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติเพราะนานเกินไป จึงโทรแจ้งตำรวจด้วยความวิตกกังวล ในวันรุ่งขึ้น พุธที่ 3 ตุลาคม เธอก็กลับมารอเขาอยู่ด้านนอกสถานทูตที่เดิม ด้วยความเป็นห่วงและกังวลต่อความปลอดภัยของเขา ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครให้ข้อมูลสื่อได้ถึงเงื่อนงำและชะตากรรมของคาช็อกกี ไม่ว่าจะเป็นสถานกงสุล, ตำรวจเมืองอิสตันบูล หรือแม้แต่สถานทูตซาอุฯในกรุงวอชิงตัน สหรัฐ



เซนกิซ




ทางการตุรกี เชื่อว่า คาช็อกกี ถูกสังหารภายในสถานกงสุลและมีการเคลื่อนย้ายศพของเขาออกไปแล้ว และนี่เป็นการวางแผนอย่างแยบยลในการสังหารนักข่าวใหญ่ที่ไม่ลงรอยกับรัฐบาลซาอุฯ โดยอาจมีเจ้าหน้าที่ในสถานกงสุลรู้เห็นเป็นใจด้วย

รัฐบาลตุรกีเปิดหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความเชื่อและความจริง ด้วยการเผยแพร่ภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด เพื่อปะติดปะต่อเหตุการณ์ โดยย้อนกลับไปในช่วงเช้ามืดวันอังคารที่ 2 ตุลาคม ก่อนที่คาช็อกกี จะมีนัดไปเอาเอกสารที่สถานกงสุลในช่วงบ่าย มีเครื่องบินแบบ “กัลฟ์สตรีม” 2 ลำ พร้อมชายฉกรรจ์ชาวซาอุฯ 15 คน ร่อนลงจอดที่สนามบินนานาชาติอตาเติร์ก ในเมืองอิสตันบูล คลิปวิดีโอที่เผยแพร่โดยโทรทัศน์ ทีอาร์ที เวิลด์ แสดงให้เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ เดินทางถึงสนามบินและเช็คอินเข้าพักในโรงแรม วีนแดม และโมเวนพิค ในเมืองอิสตันบูล ซึ่งอยู่ในย่านเดียวกับสถานกงสุลซาอุฯ และคลิปวิดีโออีกชิ้นหนึ่ง เป็นภาพรถตู้ขนาดใหญ่เดินทางเข้าไปยังบ้านพักของกงสุลใหญ่ ไล่หลัง 2 ชั่วโมงหลังจากนายคาช็อกกี เข้าไปในสถานกงสุล และทั้งหมดก็เดินทางออกจากตุรกีในคืนนั้นเอง



เจ้าชายโมฮัมเหม็ดของซาอุฯ


ถ้าเป็นอย่างที่ทางการตุรกีเชื่อ นายคาช็อกกี ถูกฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วน ภายในอาคารสถานกงสุล นั่นก็หมายความว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตต้องสมรู้ร่วมคิดกับทีมสังหาร ที่พากันนั่งเครื่องบินเจ็ต 2 ลำมาในวันนี้ พร้อมทั้งนัดวันเวลาเข้ามารับเอกสารในช่วงเวลาที่ทีมสังหารเข้ามาเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว ก่อนที่นายคาช็อกกีเข้ามาถึงสถานกงสุล และเมื่อเขามาถึงก็ถูกอุ้มทันที และเชื่อว่า น่าจะเป็นการฆ่าหั่นศพด้วย เสร็จภารกิจก็เก็บร่องรอยและนำเศษชิ้นส่วนใส่กระเป๋าใบใหญ่กลับขึ้นเครื่องไปด้วยในคืนนั้น



วันที่ 4 ตุลาคม หลังจากปิดปากเงียบมาระยะหนึ่ง รัฐบาลซาอุฯ แถลงว่า คาช็อกกีหายตัวไป หลังจากเขาออกจากสถานกงสุลแล้ว

หนังสือพิมพ์อัสคัม คาดว่า เกือบเป็นที่แน่นอนแล้วว่า นายคาช็อกกีถูกนำขึ้นรถตู้คันใหญ่ที่เข้าไปจอดที่บริเวณบ้านพักของกงสุลใหญ่ซาอุฯ และมีความเป็นไปได้ว่า เขาถูกนำตัวขึ้นเครื่องบินส่วนตัวไปด้วย เครื่องบินทั้ง 2 ลำเดินทางกลับกรุงริยาด ด้วยการหยุดแวะในดูไบที่หนึ่ง และแวะอียิปต์อีกที่หนึ่ง ตามที่ถูกอ้าง




ทุกความเคลื่อนไหว ยกเว้นวินาทีอุ้มฆ่า ล้วนปรากฏอยู่ในกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ในอีกหนึ่งวันต่อมา คือวันพุธที่ 3 ตุลาคม หนังสือพิมพ์ซาบาห์ ของรัฐบาลตุรกี รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตุรกีทราบชื่อหน่วยข่าวกรองทั้ง 15 คนนี้ที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายคาช็อกกี พร้อมทั้งตีพิมพ์ชื่อและปีเกิดของทั้ง 15 คน ที่เดินทางมายังสนามบิน อตาเติร์กเมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งในจำนวนนี้ 12 คน เดินทางถึงตอนเช้า และ 1 ในจำนวนนี้ ซาบาห์บอกชื่อและลงภาพด้วยว่า คือผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวช หรือการชันสูตรศพ และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสำนักงานนิติเวชศาสตร์ของซาอุฯ และทั้ง 15 คน คือทีมสังหารระดับพระกาฬของซาอุฯ (assassination aquad) ที่ถูกส่งมาเพื่อเชือดนายคาช็อกกี นักข่าวฝีปากกล้า ที่ชอบวิจารณ์เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ผู้นำรุ่นใหม่สายปฏิรูปของซาอุฯ อย่างไม่ไว้หน้า

น่าเสียดายที่กล้องซีซีทีวี ที่สถานกงสุลขัดข้องในวันเกิดเหตุ ซึ่งมีคำถามตามมาว่า เสียจริงหรือไม่?




และที่สำคัญ 2 คนในทีมสังหาร เป็นสมาชิกของหน่วยอารักขาราชวงศ์ซาอุฯ เคยถ่ายภาพร่วมกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ดด้วย

แต่จนถึงขณะนี้ ทางการซาอุฯ ยังไม่ได้เปิดปากชี้แจงเกี่ยวกับข้อกล่าวหาดังกล่าว ขณะที่ภาพหลักฐานต่าง ๆ ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก เพิ่มแรงกดดันต่อราชอาณาจักรซาอุฯ ให้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับคาช็อกกี ได้แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหา ซาอุฯเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคาช็อกกี ว่าเป็นเรื่อง “ไร้สาระ ไม่มีมูลความจริง” แต่ก็ไม่ไดแสดงหลักฐานสนับสนุนการโต้แย้งว่า นายคาช็อกกีเดินทางออกจากสถานกงสุลโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่เท่าแมวข่วนในวันนั้น และหายตัวไปในเมืองอิสตันบูล ขณะที่คู่หมั้นของเขา เซนกิซ ยังรออยู่ด้านนอกสถานกงสุล

แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? นั่นคือคำถาม เพราะแค่วิดีโอที่ ทีวี ทีอาร์ที ของตุรกีนำมาเปิดเผยนั้น ยังพิสูจน์ในขั้นตอนสุดท้ายไม่ได้ถึงชะตากรรมของคาช็อกกี เพียงแต่เจ้าหน้าที่ตุรกีเกรงว่า ทีมสังหาร ได้จัดการเก็บเขาแล้วเรียบร้อย

แต่ทุกอย่างยังเป็นปริศนา มืดมน ตราบใดที่ยังไม่เห็นหลักฐานชัดเจน

แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเชื่อว่า ทางการซาอุฯ สั่งตายนายคาช็อกกี

หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ต้นสังกัดของคาซ็อกกี วัย 59 ปี รายงานในช่วงเย็นวันพุธที่ 3 ตุลาคมว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ของซาอุฯ สั่งให้ล่อลวงนายคาซ็อกกี ออกจากบ้านพักของเขาในสหรัฐให้ไปติดกับในตุรกี โพสต์รายงานอ้างข้อมูลของหน่วยข่าวกรองเกี่ยวกับการหารือถึงแผนการดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ซาอุฯ พร้อมทั้งได้สัมภาษณ์เพื่อน ๆ ของนายคาช็อกกีบางคน ซึ่งพวกเขาอ้างตรงกันว่า ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลซาอุฯ ได้ติดต่อกับคาช็อกกีพร้อมเสนอให้การคุ้มครองอย่างดี รวมทั้งให้ทำงานในรัฐบาลด้วย หากเขาเดินทางกลับซาอุฯ ประเทศบ้านเกิด แต่เพื่อนคนหนึ่งกล่าวว่า คาช็อกกีบอกเขาว่า เขาไม่เชื่อใจรัฐบาล หลังจากพูดคุยกับเจ้าหน้าที่คนนั้น

ปมสังหาร

ซาอุฯ จ้องเล่นงานนายคาช็อกกีมานานแล้ว เพราะนักข่าวผู้นี้รู้ความสัมพันธ์ตื้นลึกหนาบางของรัฐบาลซาอุฯ กับกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ในการลงมือก่อวินาศกรรม 9/11 ในสหรัฐ อีกทั้งยังดูแคลนเจ้าชายโมฮัมเหม็ด เขาจึงต้องเดินออกมาจากที่เคยสนิทสนมกับรัฐบาลซาอุฯ ชุดก่อน คาช็อกกีวิจารณ์รัฐบาลซาอุฯ และนโยบายของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด อย่างต่อเนื่อง

เป็นเวลาหลายปี นายคาช็อกกี เป็นผู้ที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในราชอาณาจักรอิสลามอนุรักษ์นิยมแห่งนี้ แต่ท่ามกลางรายงานข่าวว่า เขาถูกลักพาตัว หรือถูกฆาตกรรมภายในสถานกงสุลซาอุฯ จอห์น อาร์.แบรดลีย์ นักเขียนและนักข่าว ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนของคาช็อกกีด้วย ได้ออกมาเปิดเผยความจริงบางอย่างถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมซาอุฯจึงต้องการสังหารคาช็อกกี

ในบทความที่ชื่อว่า The Spectator แบรดลีย์ ซึ่งเคยทำงานร่วมกับนายคาช็อกกี ที่หนังสือพิมพ์อาหรับ นิวส์ ของซาอุฯ เปิดเผยว่า คาช็อกกี กุมความลับเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของซาอุฯกับอัลกออิดะห์ ก่อนการก่อวินาศกรรมในสหรัฐเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 นายคาช็อกกี ถือว่าเป็นเพื่อนสนิทของนายโอซามา บิน ลาเดน ในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ในอัฟกานิสถานและซูดาน ซึ่งในขณะนั้น เขาทำงานให้กับหน่วยข่าวกองซาอุฯ รับหน้าที่เกลี้ยกล่อมบิน ลาเดน สร้างสันติภาพร่วมกับราชวงศ์ซาอุฯ ท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงคาช็อกกีคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่ใช่สมาชิกราชวงศ์ ที่รู้รายละเอียดเชิงลึกของความสัมพันธ์ของราชวงศ์ซาอุฯกับบิน ลาเดน ซึ่งแบรดลีย์ กล่าวว่า มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด หากคาช็อกกี เปิดโปงเรื่องนี้เพื่อทำลายเจ้าชายโมฮัมเหม็ด



แบรดลีย์


แบรดลีย์ เชื่อว่า รัฐบาลซาอุฯ อาจรู้สึกเป็นกังวลด้วยว่า เขากลายเป็นทรัพย์สินของสหรัฐไปแล้ว เนื่องจากได้สถานะพลเมืองอเมริกัน จึงอาจไม่ง่ายที่จะทำอะไรคาช็อกกีได้ และเมื่อต้นปีนี้เอง คาช็อกกี ก็ขยับอีกหนึ่งก้าว ด้วยการตั้งพรรคการเมืองใหม่ในสหรัฐ เรียกว่า พรรคประชาธิปไตยเพื่อโลกอาหรับ (Democracy for the Arab World) แต่การปฏิเสธของคาช็อกกี ต่อข้อเสนอให้เขาเดินทางกลับซาอุฯเพื่อไปเป็นที่ปรึกษา เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่อาจถูกมองว่าเป็นการดูแคลนเจ้าชายโมฮัมเหม็ด และอาจเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่รัฐบาลซาอุฯต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง

เพื่อน ๆ ของคาช็อกกี กล่าวกับวอชิงตัน โพสต์ว่า เมื่อหลายเดือนก่อน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของซาอุฯหลายคน ยื่นข้อเสนอรับประกันให้ความคุ้มครองความปลอดภัยของเขา พร้อมกับมอบงานในตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาล หากคาช็อกกีเดินทางกลับซาอุฯ แต่เขาเคลือบแคลงสงสัยข้อเสนอดังกล่าว จึงเมินข้อเสนอนั้นอย่างไม่ใยดี

ที่สำคัญที่สุด คาช็อกกี ยังถูกมองด้วยว่า เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุดต่อวิสัยทัศน์ในการบริหารซาอุฯ ของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด



แบรดลีย์ เขียนบทความว่า คาช็อกกี เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีความรู้มากทางการเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอาหรับ โดยมีผู้ติดตามทวิตเตอร์มากกว่า 2 ล้านคน แต่คาช็อกกีก็ยังมีแนวคิดรุนแรงทางการเมือง ที่ไม่ได้มีเวลามากนักในการศึกษาประชาธิปไตยพหุนิยมแบบตะวันตก ในช่วงทศวรรษที่ 1970 เขาเข้าร่วมกับกลุ่มภราดรภาพมุสลิม (Muslim Brotherhood) ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อปลดปล่อยโลกอิสลามจากอิทธิพลของตะวันตก

แบรดลีย์ บอกว่า ข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประชาธิปไตยของนายคาช็อกกี เมื่อปีที่แล้ว ก็ทำให้เขาต้องบาดหมางกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดในซาอุฯ ในขณะนี้ คาช็อกกีกล่าวก่อนที่เขาจะหายตัวไปว่า ชาวปาเลสไตน์ในเมืองรามัลลาห์ มีเสรีภาพมากกว่าเขาที่อยู่ในเมืองเจดดาห์ หรือกรุงริยาดเสียอีก พวกเขาสามารถเดินไปตามถนนและประท้วงได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้



นอกจากนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว เขาก็วิจารณ์สงครามซาอุฯในเยเมน ซึ่งมีความใกล้ชิดกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด “ซาอุฯ ต้องเผชิญหน้ากับความเสียหายจากสงครามในเยเมนในช่วง 3 ปีที่แล้ว” เขาเขียนบทความลงในวอชิงตัน โพสต์ เมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา “การทำสงครามอย่างต่อเนื่องในเยเมน จะตอกย้ำคำพูดที่ว่า สิ่งที่ซาอุฯ กำลังทำในเยเมน ก็ไม่ต่างจากประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย, รัสเซียและอิหร่าน กำลังกระทำในซีเรีย”

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่เป็นชนวนเหตุให้ซาอุฯ ส่งทีมฆ่าข้ามชาติมาจัดการกับจามาล คาช็อกกี ตามที่ตุรกีกล่าวหา แต่ตอนนี้ ซาอุฯกำลังตกที่นั่งลำบาก เมื่อทั่วโลกเพิ่มแรงกดดันรัฐบาลซาอุฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐ กรณีการหายตัวไปอย่างลึกลับของคาช็อกกี แม้แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ก็ออกมาขู่ว่าจะต้องลงโทษซาอุฯอย่างรุนแรง หากพิสูจน์ได้ว่า ซาอุฯอยู่เบื้องหลังการฆ่าปิดปากคาช็อกกี



แต่เชื่อว่า ซาอุฯน่าจะเสี่ยงวัดดวง เพราะสหรัฐเองก็ระแคะระคายว่า ซาอุฯมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อวินาศกรรมในสหรัฐเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ซึ่งความลับนี้ คาช็อกกีน่าจะรู้ดีที่สุด เพราะเป็นเพื่อนสนิทกับโอซามา บิน ลาเดน และเคยพบพูดคุยกันหลายครั้ง หากเป็นเช่นนี้จริง ซาอุฯคงต้องจ่ายแพงและรับโทษหนักหนาสาหัสกว่านี้แน่ ฉะนั้นแล้ว เก็บคาช็อกกีซะไม่ดีกว่าหรือ

จากนี้ไป ต้องติดตามตาไม่กระพริบ ว่าจะลงเอยอย่างไร กลายเป็นเรื่องใหญ่ของชาติตะวันตกที่ทำท่าจะยอมไม่ได้ ซาอุฯจะแก้เกมอย่างไร ติดตามกันต่อไป