นายกฯชวนทั่วไทย-ทั่วโลกสวมเสื้อเหลือง 13 ต.ค.

2018-10-12 21:10:45

นายกฯชวนทั่วไทย-ทั่วโลกสวมเสื้อเหลือง 13 ต.ค.

Advertisement

นายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลน้อมนำศาสตร์พระราชามาสืบสาน รักษา ต่อยอด ในทุกมิติ ชวนแต่งกายด้วยเสื้อโทนสีเหลืองอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั่วประเทศและทั่วโลก 13 ต.ค. น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ไม่ต้องแต่งสีดำหรือไว้ทุกข์

เมื่อวันที่ 12 ต.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ตอนหนึ่งว่า ตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติ ปวงชนชาวไทย และประชาคมโลก ต่างประจักษ์ว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตราธิราชผู้ยิ่งใหญ่ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติ และประชาชน ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ระดับองค์กร ระดับประเทศ และระดับโลก โดยประจักษ์พยานสำคัญ จากองค์กรต่างๆ ระดับโลกต่างยกย่องสดุดี ประกาศเกียรติคุณ ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลแด่พระองค์ อาทิ รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์จากองค์การสหประชาชาติ (UN) ในปี 2549 เพื่อเฉลิมพระเกียรติในพระปรีชาสามารถ และพระราชกรณียกิจ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี ของพสกนิกรไทย ตลอดรัชสมัย ในปี 2552 องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญรางวัลผู้นำโลก ด้านทรัพย์สินทางปัญญา

นายกฯ กล่าวต่อว่า ในปี 2555 สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดิน เพื่อมนุษยธรรม เป็นพระองค์แรกของโลก ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่ทำให้พระองค์ ทรงครองหัวใจคนทั้งประเทศ และคนทั้งโลก เนื่องจากพระองค์ทรงใช้ศาสตร์พระราชาที่เป็นการประยุกต์ และผสมผสาน ทั้งศาสตร์ และศิลป์ ในการพัฒนาคนและบ้านเมืองได้อย่างลงตัว ด้วยในเดือน ต.ค. มีวันสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ แสดงความผูกพัน อย่างลึกซึ้ง ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ กับ ปวงชนชาวไทย จำนวน 2 วัน ด้วยกัน ได้แก่ วันที่ 13 ต.ค.เป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และวันที่ 23 ต.ค.วันปิยมหาราช ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ เป็นล้นพ้น อย่างหาที่สุดมิได้ ด้วยทั้ง 2 พระองค์ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ปวงชนชาวไทยมาโดยตลอด




พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า นับตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติตราบจนเสด็จสู่สวรรคาลัย โดยประชาชนชาวไทย ทุกภาคส่วน ทั้งในประเทศและที่อยู่ต่างประเทศ ต่างมีความตั้งใจที่จะแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของทั้ง 2 พระองค์ อย่างพร้อมเพรียงกัน ในการนี้ รัฐบาลจะจัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย และกิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ อาทิ กิจกรรมจิตอาสาเราทำความ ดี ด้วยหัวใจ ระหว่างวันที่ 12 - 23 ต.ค.โดยในวันเสาร์ที่ 13 ต.ค. จะมีพิธีทำบุญตักบาตร พิธีวางพวงมาลา และถวายบังคม หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และพิธีถวายบังคม และจุดเทียนเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยรัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนแต่งกายด้วยเสื้อโทนสีเหลือง อย่างพร้อมเพรียงกัน ทั่วประเทศและทั่วโลก ไม่ต้องแต่งสีดำหรือไว้ทุกข์

“รัฐบาลได้น้อมนำศาสตร์พระราชา ต่างๆ มาสืบสาน รักษา ต่อยอด ในทุกๆ มิติ นับตั้งแต่ การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาประยุกต์ใช้ เป็นแนวทาง ในการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ วันนี้ ขอยกตัวอย่างการน้อมนำเกษตรทฤษฎีใหม่ไปใช้ในการพลิกชีวิตของเกษตรกรรายหนึ่งเพื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่เหลือ ว่าสามารถจะนำไปสู่การปฏิรูปได้จริง เพื่อนำพาชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีกว่า โดย “ป้าเปี๊ยก” บุญเลี้ยง รื่นมาลัย บ้านม่วงงาม อ.เสาไห้ จ.สระบุรี ซึ่งมีที่ดินทำกิน และอยู่อาศัย เพียง 3 ไร่ เดิมใช้พื้นที่ทั้งหมดปลูกข้าวอย่างเดียว ชะตาชีวิตจึงฝากความหวังไว้กับฟ้าฝน มาเกือบ 30 ปี ปีไหนน้ำมาก ก็ท่วมข้าวจมเน่าเสียหาย ปีไหนน้ำน้อย ข้าวก็ยืนต้นแห้งตาย แทบไม่ได้ผลผลิต ส่วนปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ก็ซื้อแบบเงินเชื่อ ที่ดินแทบไม่ได้พักนะครับ และไม่เคยได้รับสารอาหารมาเติม ดินจึงขาดแร่ธาตุ ปลูกพืชอะไรก็อ่อนแอ ส่วนคนก็สุขภาพเสื่อมโทรม แถมเครียดจากภาระหนี้สิน เพราะผลผลิตถดถอย แต่เมื่อได้รับความรู้ จาก “กำนันไก่” วนิดา ดำรงค์ไชย กำนัน ต.ม่วงงาม อ.เสาไห้ จ.สระบุรี ณ ศูนย์เรียนรู้ โคกหนองนา แล้วนำมาปฏิบัติ โดยจัดสรรที่ดิน แบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน คือ 30 – 30 - 30 และ 10 เพื่อทำการเกษตรตามแนวพระราชดำริเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็สามารถพลิกผันชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ก็ 5 ปีแล้ว ถือได้ว่าสามารถก้าวข้างวิถีเดิมๆ มาเป็นคนรวยความสุข



นายกฯ กล่าวว่า ขอขยายความการจัดสรรที่ดินในกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้ 30 แรก ก็คือการ “ขุดแหล่งน้ำ” ทำให้มีทั้งน้ำทำการเกษตร ปลูกพืชผักสวนครัว ทำนา และเลี้ยงปลา - เลี้ยงกบในกระชัง ไปด้วย มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี ไม่ต้องฝากชีวิตกับฝนแต่เพียงอย่างเดียว มีข้าวกินทั้งครอบครัว ตลอดปี เหลือก็ขาย หรือแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้าน อาจเลี้ยงไก่เหนือสระน้ำ มูลไก่ก็เป็นอาหารปลาได้อีกด้วย 30 ต่อมา ก็คือ “นาที่สมบูรณ์” ที่มีน้ำหล่อเลี้ยงเพียงพอ ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เน้นเกษตรอินทรีย์ นอกจากสุขภาพดี ไม่ป่วยง่ายแล้ว ในนาก็มีปลา มีหอย มีสัตว์น้ำ มีระบบนิเวศน์ ดินก็ฟื้นตัว มีสารอาหารสะสม อุดมสมบูรณ์ 30 สุดท้าย คือ “การปลูกป่า - ไม้ยืนต้น - พืชผลอื่นๆ” อาจจะเป็น “ไม้มีค่า” ตามนโยบายรัฐบาล เป็นการออม เป็นสินทรัพย์ เพื่อวันข้างหน้า อาจเป็นผลไม้ สมุนไพร และพืชผักสวนครัว ผสมผสานกันในพื้นที่ ก็ได้ ไม่ต้องปลูกพืชเชิงเดี่ยว และอีก 10 ที่เหลือ คือ “ที่อยู่อาศัย” ตามวิถี “พอเพียง” เพียงเท่านี้ “ป้าเปี๊ยก” ก็หลุดพ้นจากวงจรหนี้สิน พ้นทุกข์ ครอบครัวมีความสุข