กองทัพสหรัฐอเมริกาประกาศระงับการบิน เครืองบินขับไล่เทคโนโลยีสเตลธ์ เอฟ-35 ทั้งหมด เป็นการชั่วคราว เพื่อทำการตรวจสอบ ระบบท่อเชื้อเพลิงที่บกพร่อง หลังเกิดอุบัติเหตุตกเป็นครั้งแรก ระหว่างการฝึกบินตามกิจวัตร ในรัฐเซาท์แคโรไลนา เมื่อเดือนที่แล้ว
รายงานของทางการสหรัฐเมื่อต้นปีนี้ ตั้งข้อสงสัยว่า เอฟ-35 พร้อมที่จะออกปฏิบัติการสู้รบจริงแล้วหรือไม่ หลังการตรวจพบข้อบกพร่องหลายสิบจุด เอฟ-35 เป็นโครงการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่สุด และราคาแพงที่สุด ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ และของโลก
สหรัฐกำหนด โครงการผลิตเครื่องบินรบล้ำยุครุ่นนี้นาน 30 - 40 ปี เพื่อใช้ในกองทัพของประเทศ และขายให้ประเทศพันธมิตรทั่วโลกรวมประมาณ 3,000 ลำ โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดโครงการ จากการประเมินของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินสหรัฐ อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์
แถลงการณ์ของ สำนักงานโครงการร่วมเอฟ-35 เมื่อวันพฤหัสบดี ระบุว่า สหรัฐและประเทศหุ้นส่วนความมั่นคงระหว่างประเทศ จะระงับการบินเอฟ-35 ทั้งหมดเป็นการชั่วคราว ในระหว่างการตรวจสอบความบกพร่องที่ระบบท่อเชื้อเพลิง โดยกระบวนการตรวจสอบคาดว่าจะเสร็จสิ้นภาย ใน 24 - 48 ชั่วโมงข้างหน้า
เครื่องบินรบ เอฟ-35 ซึ่งติดตั้งเทคโนโลยีล่องหน สเตลธ์ เพื่อลดการตรวจจับของเรดาร์ศัตรู ผลิตออกมา 3 แบบคือ เอฟ-35บี เริ่มออกบิน 31 ก.ค. 2558, เอฟ-35เอ เริ่มบิน 2 ส.ค. 2559 และเอฟ-35ซี มีแผนออกบินในปีนี้ ส่วนลำที่ประสบอุบัติเหตุตก ในระหว่างการบินฝึกฝนในรัฐเซาท์แคโรไลนา เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งนักบินดีดตัวออกจากเครื่องได้ปลอดภัย แต่เครื่องบินพังเสียหายทั้งลำ เป็นรุ่น เอฟ-35บี ซึ่งมีสมรรถนะลงจอดในแนวดิ่งได้ มีต้นทุนในการผลิตลำละประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ หรือ 3,274 ล้านบาท
เอฟ-35 ผลิตโดยบริษัทล็อคฮีด มาร์ติน ของสหรัฐ แต่ชิ้นส่วนหลายจุดผลิตในหลายประเทศ เอฟ-35 ถูกขายให้กับหลายประเทศพันธมิตร ของสหรัฐ รวมถึงอังกฤษ ญี่ปุ่น อิตาลี ตุรกี และเกาหลีใต้.