ทูตสหรัฐประจำยูเอ็นเตรียมลาออกจากตำแหน่งสิ้นปี

2018-10-10 07:25:28

ทูตสหรัฐประจำยูเอ็นเตรียมลาออกจากตำแหน่งสิ้นปี

Advertisement

นางนิคกี ฮาลีย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรสหรัฐอเมริกาประจำองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เตรียมลาออกจากตำแหน่งสิ้นปีนี้ จากการประกาศของเธอ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ เมื่อวานนี้ ซึ่งสร้างความตกตะลึงแก่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจำนวนมาก และก่อให้เกิดการคาดเดาในวงกว้าง ทั้งในทำเนียบขาวและข้างนอก เกี่ยวกับจังหวะเวลาและเหตุผล ของการปรับเปลี่ยนตัวบุคคลในรัฐบาลของทรัมป์ เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนถึงการเลือกตั้งสำคัญกลางเทอมของสหรัฐ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 6 พ.ย.

ทั้งฮาลีย์และทรัมป์ต่างก็ไม่บอกเหตุผลโดยตรง โดยฮาลีย์กล่าวว่า "เธอได้รับทุกอย่าง ได้รับสิ่งเหล่านี้ในระยะแปดปีที่ผ่านมา" ซึ่งเธอหมายถึงช่วงเวลา 6 ปีที่เธอดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนา และอีก 2 ปีในการทำหน้าที่ทูตสหรัฐประจำยูเอ็น มีการคาดเดาว่าฮาลีย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสตรีทรงอิทธิพลที่สุดในรัฐบาลสหรัฐชุดนี้ อาจจะหวนคืนสู่ตำแหน่งในคณะรัฐบาล หรือคืนสู่การเมืองในจุดใดจุดหนึ่ง แต่เธอกล่าวปฏิเสธแบบติดตลกว่า เธอจะไม่ลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งต่อไปในปี พ.ศ. 2563 และเธอจะสนับสนุนทรัมป์อีก

การตัดสินใจประกาศการปรับเปลี่ยนล่าสุด มีขึ้นไม่ถึง 1 เดือน ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอม แม้ว่าทีมงานทำเนียบขาวจะพยายามต้านทานความเปลี่ยนแปลงสำคัญ ในกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานอื่น ๆ ก่อนถึงการเลือกตั้ง ต่อคำถามที่ว่า เหตุใดการประกาศจึงมีขึ้นในเวลานี้ ทั้งที่ฮาลีย์ยังเหลือเวลาดำรงตำแหน่งจนถึงสิ้นปี แทนที่จะตอบโดยตรง ทรัมป์กลับกล่าวถึงการทำงานที่ผ่านมาของฮาลีย์ ซึ่งต้องเผชิญปัญหาหนักหลายประการ เช่น อิหร่านและเกาหลีเหนือ




ทรัมป์เผยว่า ฮาลีย์หารือกับเขาเรื่องการลาออกของเธอ ครั้งแรกเมื่อ 6 เดือนก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทรัมป์แต่งตั้งนายไมค์ ปอมเปโอ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐคนใหม่ รวมทั้งแต่งตั้งนายจอห์น โบลตัน ทำหน้าที่ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งในเวลานั้นฮาลีย์ได้แสดงความผิดหวังที่เสียงของเธอเลือนหาย ขณะที่ปอมเปโอและโบลตันกลายเป็นกลุ่มหน้าใหม่ก้าวร้าว ในนโยบายต่างประเทศของทรัมป์

ฮาลีย์วัย 46 ปี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตสหรัฐประจำยูเอ็น ในเดือน พ.ย. 2559 และเดือนที่แล้วเธอทำหน้าที่ประสานงาน การเดินทางเยือนยูเอ็นเป็นครั้งที่ 2 ของทรัมป์ และเป็นครั้งแรกที่ทรัมป์ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคง หรือยูเอ็นเอสซี



เนื่องจากเป็นคนหน้าใหม่ในวงการเมืองระหว่างประเทศ การเลือกเธอทำหน้าที่ทูตสหรัฐประจำยูเอ็นจึงสร้างความประหลาดใจแก่หลายฝ่าย แต่เธอก็สร้างผลงานได้อย่างน่าชื่นชม เธอเป็นหัวหอกในความพยายามของรัฐบาลสหรัฐ ในการต่อสู้กับการต่อต้านสหรัฐและต่อต้านอิสราเอลในยูเอ็น รวมทั้งแก้ไขปัญหาความตึงเครียด ระหว่างสหรัฐกับกลุ่มพันธมิตรในยุโรป กับอิหร่านและเกาหลีเหนือ

ฮาลีย์กล่าวติดตลกอีกว่า รู้สึกภูมิใจที่ต้องสวมเสื้อเกราะไปทำงานที่ยูเอ็นทุกวัน และภารหน้าที่หลักของเธอก็คือ ปกป้องอเมริกาในเวทีโลก

ล่าสุดทรัมป์แถลงเมื่อวานนี้ว่า เขาจะพิจารณาเลือกดีนา เพาเวลล์ ประธานบริหารโกลด์แมน แซคส์ บริษัทวาณิชธนกิจชื่อดัง และเป็นอดีตที่ปรึกษาทำเนียบขาว เข้ามารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเอ็นแทนฮาลีย์ ยุติกระแสการคาดเดาที่ว่า เขาจะตัดอิวานกา ทรัมป์ บุตรสาวมากความสามารถของเขา มารับตำแหน่งนี้ โดยทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวก่อนเดินทางไปยังรัฐไอโอวา ไม่กี่ชั่วโมงหลังการประกาศลาออกของฮาลีย์ในสิ้นปีนี้ ซึ่งทรัมป์บอกว่า ฮาลีย์จะช่วยเขาเลือกด้วย