เผยคนกรุง 77.5%เป็นหนี้ เรื่องบ้านมากสุด

2018-10-09 14:25:05

เผยคนกรุง 77.5%เป็นหนี้ เรื่องบ้านมากสุด

Advertisement

ฉลาดซื้อร่วมกับบ้านสมเด็จโพลล์ เผยคนกรุงร้อยละ 77.5 เป็นหนี้ โดยเป็นหนี้เรื่องบ้านมากสุด เผยร้อยละ 53.4 เคยผิดนัดผ่อนชำระ



นิตยสารฉลาดซื้อร่วมกับศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เผยผลสำรวจหนี้ครัวเรือนคนกรุง ซึ่งเป็นผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับหนี้สินครัวเรือน โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ใน กทม. จำนวนทั้งสิ้น 1,171 กลุ่มตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 24 - 28 ส.ค. 2561 โดย ผศ.สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่า ร้อยละ 77.5 ของกลุ่มตัวอย่าง มีหนี้สิน โดยร้อยละ 37.6 เป็นหนี้เกี่ยวกับการกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ รองลงมาร้อยละ 28.2 เป็นการกู้ซื้อรถยนต์ อันดับสามร้อยละ 18.8 เป็นการกู้ยืมเงินจากหนี้นอกระบบ และร้อยละ 17 เป็นการกู้ยืมสินเชื่อส่วนบุคคล ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ก่อน ปี 2561 ที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันการซื้อบ้าน ที่พักอาศัย เป็นเหตุผลหรือความจำอันดับแรกที่ทำให้คนกรุงต้องเป็นหนี้



สำหรับแหล่งเงินกู้อันดับหนึ่ง หรือ ร้อยละ 36.4 คือ ธนาคารพาณิชย์ รองลงมา ร้อยละ 16.7 คือบริษัทไฟแนนช์/ลิสซิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบหนี้คือ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 15.3 ยังต้องใช้บริการของคนปล่อยกู้ (หนี้นอกระบบ) นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงตัวเลขหนี้สินหรือหรือการกู้ยืมเงิน พบว่า ร้อยละ 40 เป็นหนี้น้อยกว่า 100,000 บาท รองลงมา ร้อยละ 30 เป็นหนี้ในช่วง 1-5 แสนบาท และอันดับสาม ร้อยละ 17.4 เป็นหนี้ในช่วง 5 แสน – 1 ล้านบาท




สำหรับสภาพคล่องในการชำระหนี้ พบว่า ร้อยละ 53.4 เคยผิดนัดผ่อนชำระ และร้อยละ 34.4 ตอบว่าไม่เคยผิดนัดผ่อนชำระ ส่วนเรื่องความรู้เกี่ยวกับเรื่องหนี้ คนกรุงส่วนใหญ่ร้อยละ 67.5 ทราบข้อมูลเรื่องอัตราดอกเบี้ยของการกู้ยืมเงิน ขณะที่ร้อยละ 52.3 ทราบว่ามีกฎหมายเรื่องทวงถามหนี้ และมีถึงร้อยละ 46.3 ที่เคยถูกทวงถามหนี้ ซึ่งร้อยละ 33.5 ถูกทวงถามหนี้ในลักษณะของจดหมาย รองลงมา ร้อยละ 19.6 เป็นพูดจาไม่สุภาพ และร้อยละ 15.4 คิดดอกเบี้ยแพงเกินจริง ตามลำดับ


ผศ.สิงห์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า มีกลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 22.8 ที่เคยถูกดำเนินคดี ฟ้องศาล หรือยึดทรัพย์ และเมื่อสอบถามถึงมาตรการที่ทางรัฐดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้ พบว่าประมาณ ร้อยละ 40 ทราบว่ามีแหล่งสินเชื่อที่เป็นมาตรการใหม่ เช่น คลินิกแก้หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง (สินเชื่อพิโก) และสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับของธปท. (นาโนไฟแนนซ์)



น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) กล่าวว่า การช่วยเหลือของภาครัฐ เช่น สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง (สินเชื่อพิโก) และสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับของ ธปท. (นาโนไฟแนนซ์) นั้นมีการคิดดอกเบี้ยที่สูงถึง ร้อยละ 36 ต่อปี ซึ่งไม่ได้เป็นการช่วยเหลือผู้บริโภคอย่างแท้จริง รัฐควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด คือร้อยละ 15 ต่อปี หากจะช่วยคนที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้ที่แท้จริง