รมช.เกษตรฯประกาศจุดยืนต้าน “ปุ๋ยเคมี-สารพิษ”

2018-08-29 23:50:43

รมช.เกษตรฯประกาศจุดยืนต้าน “ปุ๋ยเคมี-สารพิษ”

Advertisement

รมช.เกษตรฯเดิมพันเก้าอี้ ประกาศจุดยืนปุ๋ยเคมีและสารพิษต้องหมดไปจากแผ่นดิน  



เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่เมืองทองธานี ในงานมหกรรมสมุนไพรและอาหารครั้งที่ 3 ประจำปี 2561 ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือ อาจารย์ยักษ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวในระหว่างเป็นประธานเปิดงานช่วงหนึ่งว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มี อาหารและยาสมนุไพรที่ดีที่สุดในโลก แต่หลังจากที่มีการนำปุ๋ยเคมีและสารเคมีมาใช้ในการเกษตร วิถีชีวิตเราเปลี่ยนไป พืชผลทางการเกษตรไม่ปลอดภัยเหมือนก่อน อีกทั้งเมื่อนำมาผลิตเป็นอาหารก็ปนเปื้อนไปด้วยสารเคมี ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน ดังนั้นแนวทางเกษตรอินทรีย์ตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 คือหนทางสู่เกษตรยั่งยืนอย่างแท้จริง  ดังนั้นตนจึงขอประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมีในการเกษตรทุกรูปแบบ และขณะนี้มีผู้ว่าราชการจังหวัด 56 จังหวัดร่วมเป็นแนวร่วมต่อต้านด้วย โดยจะเริ่มที่ จ.ยโสธรเป็นที่แรก และขยายผลไปทั้งแผ่นดิน นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุข ก็พร้อมที่จะร่วมกับเราโดยอาสาที่จะเป็นหน่วยงานหลักที่ตรวจอาหารที่ปลูกจากเกษตรอินทรีย์ว่าเป็นอาหารที่ปลอดภัย



อาจารย์ยักษ์ กล่าวด้วยว่า  ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เขียนไว้ขัด เราต้องทำการผลิตภาคเกษตรเป็น 2ระบบ คือ 1 ต้องทำให้เป็นเกษตรอินทรีย์ ต้องทำให้ได้ 6 แสนไร่เป็นอย่างต่ำ  และ 2.ระบบเกษตรที่กว้างกว่าเกษตรอินทรีย์ ที่เรียกว่าเกษตรยั่งยืน แบ่งย่อยออกเป็น เกษตรอินทรีย์ที่ถือเป็นรูปแบบหนึ่ง เกษตรผสมผสาน เกษตรธรรมชาติแท้ๆ เกษตรทฤษฎีใหม่  และสุดท้ายคือการทำเกษตรรูปแบบอื่นๆ ที่ควรจะมีหลายแบบ แต่ที่สำคัญคือทำให้สอดคล้องกับวิถีสังคมและชุมชน ภูมิศาสตร์ที่แต่ละแห่งแต่ละภาคที่ไม่เหมือนกัน  เป้าหมายส่วนนี้คือการทำ 5ล้านไร่เป็นอย่างน้อย





“ผมขอท้าพวกที่คัดค้าน ขอให้มาพิสูจน์กับเราว่า ถ้าเราทำเกษตรอินทรีย์แล้วมีอันตราย ก็ขอให้เอาหลักฐานมา อย่ามาขวางทางบุญ เพราะมันจะเป็นบาปหนัก เรากำลังทำเพื่อแผ่นดิน เพื่อพี่น้องประชาชนชาวไทย ถ้าผมทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ผมก็ไม่อยู่ ผมไม่กลัวตาย ไม่กลัวถูกไล่ออก เพราะยืนยันทำในสิ่งที่ถูกต้อง” อาจารย์ยักษ์ กล่าว



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.วิวัฒน์ ได้เป็นแกนนำในการประกาศเจตนารมณ์ โดยขอให้ผู้ร่วมงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ข้าราชการระดับสูงกระทรวงเกษตร กระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนเครือข่ายเกษตรกร และเครือข่ายผู้ร่วมจัดงานทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน โดยมีเสียงปรบมือดังกึกก้องต่อแนวทางดังกล่าว