“อนุทิน” โชว์กึ๋นแก้ปัญหาจราจร กทม. แนะขยายความเจริญออกต่างจังหวัด จัดสรรงบประมาณอย่างเท่าเทียม ลดการกระจุกตัวของประชากรเมืองหลวง
เมื่อวันที่ 20 ส.ค.นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โพสต์ในเฟซบุ๊ก ส่วนตัวกล่าวถึง ปัญหาการจราจรใน กทม.ว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากประเทศไทย มีปัญหาเรื่องความเจริญกระจุกตัว ส่งผลให้คนต่างจังหวัดย้ายเข้ามาหาโอกาสใน กทม. แทนที่จะใช้ชีวิตยังบ้านเกิด ทางแก้ที่ดีที่สุด ไม่ใช่การสร้างถนน หรือรถไฟฟ้าใน กทม. แต่ควรกระจายความเจริญ ไปสู่ต่างจังหวัด แก้ปัญหาจราจร กทม. ต้องแก้นอก กทม.ก่อน กทม.จะเป็น กรุงเทพมหาวิกฤต วิธีการแก้ปัญหาจราจร กทม.ที่ได้ผล และยั่งยืนที่สุดไม่ใช่การสร้างรถไฟฟ้า ทั้งรถไฟบนดิน รถไฟลอยฟ้า รถไฟใต้ดินไม่ใช่การสร้างทางด่วน ทางพิเศษ โทลล์เวย์ สารพัดเวย์ ไม่ใช่รถเมล์เอ็นจีวี รถเมล์บีอาร์ที รถเมล์แดง รถเมล์เขียว ไม่ใช่รถแท็กซี่แก๊ส แท็กซี่ไฟฟ้า แท็กซี่น้ำมัน ไม่ใช่แกร็บ อูเบอร์ ป้ายขาว ป้ายเหลือง ป้ายดำ
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สิ่งเดียวที่ต้องสร้างเพื่อแก้ปัญหาจราจร กทม. อย่างยั่งยืน คือ สร้างความเจริญ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างสถาบันการศึกษา ในภูมิภาคต่างๆ ในทุกๆ จังหวัด อย่างทั่วถึง เพราะไม่มีใครอยากโยกย้ายถิ่นฐานจากชนบท เข้ามาแออัดยัดเยียด แย่งกันกิน แย่งกันอยู่ แย่งกันทำงาน แย่งกันเดินทาง แย่งกันทุกๆ อย่าง แบบเอาเป็นเอาตาย อย่างทุกวันนี้ ถ้าหากว่าเขามีที่เรียนที่ดี มีที่ทำงานที่ดี มีโรงพยาบาลที่ดี มีสาธารณูปโภคที่ดีพอ มีงานทำ มีรายได้เพียงพอ เขาก็คงไม่เดินทางเข้ามา ทุกวันนี้ ยิ่งรัฐบาล ใส่งบพัฒนากรุงเทพ มากเท่าไร จัดสรรงบประมาณพัฒนาประเทศ ไม่เท่าเทียมกันมากเท่าไร คนจากทุกจังหวัดมุ่งหน้าเข้าสู่ กทม.มากขึ้นเท่านั้นและก็จะยิ่งซ้ำเติมวิกฤตจราจรใน กทม. ให้เป็นมหาวิกฤตขึ้นไปอีก
“ผมฟันธงได้เลยว่า ถ้าเราไม่สามารถหยุดคนเดินทางเข้า กทม.ได้ เราจะไม่มีทางแก้ปัญหาจราจรใน กทม. ได้ทุกๆ เทศกาลที่คนต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียน มาทำงานใน กทม. เดินทางกลับบ้าน ถนนทุกสายใน กทม. โล่ง และดูเหมือนว่า กทม. จะมีถนนมากเกินไป ด้วยซ้ำ ปัญหาจราจร ใน กทม. หายไปชั่วขณะ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ดังนั้นทางเดียวที่จะแก้ได้ก็คือ สร้างความเจริญทุกๆ ด้าน ให้แก่ประชาชนในทุกจังหวัด ทุกภูมิภาค อย่างเพียงพอ ด้วยการจัดสรรงบประมาณ อย่างเป็นธรรม และเท่าเทียม ผมคิดแบบนี้ และผมจะทำแบบที่ผมคิด ผมกำลังวางแผน” นายอนุทิน กล่าว
ขอบคุณภาพเฟซบุ๊ก : สำนักงานทางหลวงที่13 กรมทางหลวง