จาก “บุญเพ็งหีบเหล็ก“ ถึง “วุธ” กับฆาตกรรมหั่นศพสุดสยอง

2018-06-25 19:35:04

จาก “บุญเพ็งหีบเหล็ก“ ถึง “วุธ” กับฆาตกรรมหั่นศพสุดสยอง

Advertisement

อีกหนึ่งข่าวที่สะเทือนขวัญสั่นประสาทคนทั่วประเทศ สำหรับกรณี นายธนกฤต ประกอบ หรือ วุธ ทำการฆาตกรรม น.ส.ลักษณา กำลังเก่ง หรือน้องเมย์ อดีตแฟนสาว อย่างเหี้ยมโหด โดยกระหน่ำใช้ค้อนทุบศีรษะผู้ตายหลายครั้งจนเสียชีวิต ก่อนทิ้งศพไว้ 1 คืน นั่งชำแหละในห้องพักอย่างเลือดเย็นและนำมาทิ้งไว้ในป่าเพื่ออำพรางคดี



อย่างไรก็ตาม นี่มิใช่ครั้งแรกที่บ้านเราได้เผชิญกับคดีฆาตกรรมฆ่าหั่นศพที่เฉกเช่นนี้ นิว 18 ขอนำคดี “ฆ่าหั่นศพ” ที่เคยสร้างความตื่นตะลึงและสะพรึงกลัวไปทั่วมานำเสนออีกครั้ง






คดีแรกเป็นกรณีของนายบุญเพ็ง ฆาตกรชื่อก้องเมื่อเกือบ 100 ปีก่อน ฆาตกรใจเหี้ยมโหดในสมัยรัชกาลที่ 6 เจ้าของฉายา “บุญเพ็งหีบเหล็ก” เดิม “นายบุญเพ็ง” เป็นภิกษุจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองนนทบุรี มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ซึ่งจำนวนมากเป็นผู้หญิงที่มีฐานะดี ยังผลให้ “พระบุญเพ็ง” มีความสัมพันธ์ทางเพศกับสีกาเหล่านั้น กระทั่งความโลภเข้าครอบงำจิตใจหวังในทรัพย์ของลูกศิษย์เศรษฐินี จึงได้ก่อเหตุฆาตกรรมสีกาที่เป็นเศรษฐินีจำนวน 7 ราย





หลังจากทำการฆาตกรรมแล้ว “พระบุญเพ็ง” ก็ใช้มีดสับศพเป็นท่อน ๆ ก่อนที่จะนำศพยัดใส่หีบเหล็กและนำไปทิ้งลงคลองย่านบางลำภูเพื่อทำลายหลักฐาน อันเป็นที่มาของฉายา “บุญเพ็งหีบเหล็ก” ต่อมาเขาถูกจับได้และประหารชีวิตในที่สุด โดยบุญเพ็งเป็นนักโทษประหารชีวิตคนสุดท้าย ที่ถูกสังหารโดยการตัดคอ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2462





คดีที่สองเป็นกรณีการเสียชีวิตของ “น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี” วัย 22 ปี นักศึกษาแพทย์ปี 5 มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ถูกฆาตกรรมอย่างสยดสยองโดย นายเสริม สาครราษฎร์ นักศึกษาแพทย์ปีที่ 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แฟนหนุ่ม หลังไม่พอใจที่ฝ่ายหญิงบอกเลิก จึงลวงมาติวหนังสือ และลงมือสังหารและหั่นศพภายในห้องพักของตนเอง ก่อนนำหัวกะโหลกทิ้งที่แม่น้ำบางปะกงเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2541 ทว่าเรื่องเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญ หลังจากพ่อแม่ของ “น.ส.เจนจิรา” แจ้งความว่าบุตรสาวหายตัวไป พร้อมกับรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่า สีเขียว หมายเลขทะเบียน 8 ษ-8580 กรุงเทพมหานคร กระทั่งมีการเรียกตัว “นายเสริม” มาสอบสวน ซึ่งให้การปฏิเสธ ก่อนที่จะจำนนด้วยหลักฐานจึงรับสารภาพ และได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต



อย่างไรก็ตาม ด้วย “นายเสริม” นั้นถือเป็นนักโทษชั้นดีกอปรกับได้รับการพระราชทานอภัยโทษ จึงพ้นโทษออกมาเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2554 รวมถูกคุมขังในเรือนจำราว 14 ปี ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อ-สกุลและใช้ชีวิตอย่างสงบ





คดีที่สามเป็นเหตุฆาตกรรมหั่นศพโดย “น.พ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ” สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาฯ ที่ทำการฆาตกรรมภรรยาคือ “พ.ญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ” สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร หรือ โรงพยาบาลรถไฟ ซึ่งคดีนี้มีจุดเริ่มต้นจากตัว น.พ.วิสุทธิ์ เองที่เข้าแจ้งความกับตำรวจสน.พญาไท เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2544 ว่า “พ.ญ.ผัสพร” หายตัวไป ก่อนหน้าที่ น.พ.วิสุทธิ์ จะทำการถอนแจ้งความ ด้วยระบุว่าเจอตัวภรรยาแล้วจดหมายตัวพิมพ์ข้อความจาก “พ.ญ.ผัสพร” ส่งมาที่ทำงานและส่งให้ลูก ๆ ว่าไปนั่งวิปัสสนาที่ จ.ระยอง เป็นเวลา 15 วัน



อย่างไรก็ตาม หลังครบกำหนด 15 วัน กลับยังไม่พบร่องรอยของ “พ.ญ.ผัสพร” ทางญาติของแพทย์หญิงจึงเข้าร้องทุกข์โดยเชื่อว่าน่าจะเกิดเหตุร้าย พร้อมพุ่งเป้าไปที่หมอวิสุทธิ์ เพราะกำลังมีปัญหากันอยู่ ถึงขนาดที่หมอวิสุทธิ์ฟ้องขอหย่า แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอม ตำรวจจึงเริ่มสืบสวนอย่างจริงจัง กระทั่งนำไปสู่การจับกุมตัว “น.พ.วิสุทธิ์” ในที่สุด จากหลักฐานกล้องวงจรปิดว่า สองสามีภรรยาได้นัดหมายไปพบกันที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดนั้นพบว่า “พ.ญ.ผัสพร” เดินเข้ามาด้วยอาการปกติ แต่ตอนขาออกมีอาการคล้ายคนเมา และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่มีผู้พบเห็น “พ.ญ.ผัสพร”





ขณะที่มีอีกหนึ่งหลักฐานสำคัญคือจดหมายลางาน ตำรวจพบพยานเป็นร้านรับพิมพ์ระบุว่า หมอวิสุทธิ์มาจ้างให้พิมพ์ข้อความทั้งหมด นอกจากนี้ “น.พ.วิสุทธิ์” ยังได้ไปซื้อหาถุงขยะสีดำขนาดใหญ่ ก้อนดับกลิ่น และกระดาษทิชชู่ จำนวนมากผิดปกติ ก่อนหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นห้องพักในอาคารวิทยนิเวศ พบคราบเลือดจำนวนมากในห้องพัก จึงดูดบ่อเกรอะขึ้นมาตรวจสอบ พบชิ้นเนื้อมนุษย์จำนวนมาก เช่นเดียวกับที่โรงแรมโซฟิเทล ก็พบชิ้นเนื้ออีกส่วนหนึ่ง แพทย์ตรวจสอบแล้วมีดีเอ็นเอตรงกับพ.ญ.ผัสพร ทำให้หมอวิสุทธิ์ถูกดำเนินคดีข้อหาฆาตกรรม

หลังจากที่ต้องรับกรรมอยู่หลังกรงขังเป็นเวลาหลายปี “น.พ.วิสุทธิ์” ก็ได้รับการอภัยโทษและลดโทษเรื่อยมา เพราะเป็นนักโทษชั้นดี ได้รับการลดโทษเหลือจำคุก 21 ปี ก่อนที่จะกลับมาใช้ชีวิตนอกคุกเมื่อปลายปี 2554



คดีที่สี่เป็นกรณีคดีของ “น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย” หรือ “เปรี้ยว” พร้อมพวกรวม 5 คน หลังก่อเหตุฆาตกรรม “น.ส.วริศรา กลุ่นจุ้ย” หรือ “น้องแอ๋ม” เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2560 โดยคดีนี้เริ่มต้นเมื่อชาวบ้าน ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น พบชิ้นส่วนมนุษย์ ถูกฝังดิน อยู่ในป่า บ้านโนนสง่า หมู่ 9 เมื่อตำรวจไปถึงพบศพหญิงสาวถูกหั่นเป็น 2 ท่อน จึงทำการสืบสวน จนทราบว่าผู้ตายคือ “น้องแอ๋ม” ทำงานอยู่ร้านคาราโอเกะ ใน จ.ขอนแก่น จนวันที่ 29 พ.ค. ตำรวจขอศาลจังหวัดขอนแก่นออกหมายจับ 1.นายวศิน นามพรม หรือนิว อายุ 22 ปี 2.น.ส.จิดารัตน์ พรมคุณ หรือเบ็นซ์ อายุ 21 ปี 3.น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว อายุ 24 ปี และ 4.น.ส.กวิตา ราชดา หรือเอิร์น อายุ 25 ปี โดยก่อนที่จะสอบสวนจนพบว่าก่อนเกิดเหตุทั้งหมดได้เช่ารถซีอาร์วี และไปลักพาตัว “น้องแอ๋ม” มา โดยมีการซัดทอดในกลุ่มผู้ก่อเหตุว่า “เปรี้ยว” เป็นผู้ใช้ถุงพลาสติกคลุมหัวน้องแอ๋ม และลงมือซ้อม ซึ่งขณะนั้น น้องแอ๋ม พูดท้าทายว่า “ซ้อมเลย ถ้าไม่ตายจะมาเอาคืน” “เปรี้ยว” จึงบีบคอ “น้องแอ๋ม” จนแน่นิ่งไป



หลังจากนั้น “เปรี้ยว” จึงได้ให้ “วศิน” ขับรถไปยัง อ.เขาสวนกวาง เพื่อนำศพ “น้องแอ๋”ม ไปทิ้ง โดยแวะซื้อ ถุงพลาสติก ปูนซีเมน เสียม ใบมีน และเลื่อย ตามร้านขายวัสดุก่อสร้างระหว่างทาง ก่อนจะขับรถไปที่รีสอร์ท ใน อ.เมือง จ.ขอนแก่น และ “เปรี้ยว” ก็ลงมือหั่นศพ “น้องแอ๋ม” และทั้งหมดร่วมกันนำศพไปฝัง ก่อนที่ “เปรี้ยว” พร้อมเพื่อนอีก 2 คน คือ เอิร์น และ น.ส.อภิวันท์ สัตยบัณฑิต หรือ แจ้ จะหลบหนีออกนอกประเทศข้ามยังประเทศเมียนมา และตัดสินใจกลับมามอบตัวในเวลาต่อมา สรุปรวมผู้ร่วมก่อเหตุทั้งหมด 5 คน โดยล่าสุดศาลได้ตัดสินให้ “เปรี้ยว” “เอิร์น” และ “แจ้” จำคุกคนละ 34 ปี 6 เดือน ข้อฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ส่วน “เบนซ์” จำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา ข้อหารับของโจร และ วศิณ จำคุก 23 ปี 4 เดือน 20 วัน ข้อหาให้การสนับสนุน



แม้จะยังไม่มีข้อสรุปออกมาในเวลานี้ว่า ที่สุดแล้วนักโทษคดีคดีฆาตกรรมอันน่าสยดสยองเช่นนี้นั้นสมควรจะได้รับการลงโทษเช่นไรถึงจะสาสมแก่ความผิด และการลงโทษขั้นสูงสุดคือ ประหารชีวิต หรือไม่ อย่างไร แต่สิ่งที่สังคมพึงตั้งคำถามและร่วมกันหาทางออกมากกว่าก็คือ แนวทางการป้องกันการเกิดขึ้นของฆาตกรและการฆาตกรรมอย่างยั่งยืนแท้จริง

เพราะที่สุดแล้วไม่มีใครเลยที่สมควรแก่การถูกพรากชีวิตอันมีค่าของตัวเองไป