รู้จัก 11 เมือง 12 สนาม จัดแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 (คลิป)

2018-06-13 17:20:48

รู้จัก 11 เมือง 12 สนาม จัดแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 (คลิป)

Advertisement

ด้วยความที่ รัสเชีย เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างที่สุดในโลก ทำให้เจ้าภาพศึกฟุตบอลโลก 2018 ปีนี้ ต้องใช้สนามจัดการแข่งขันมากถึง 12 สนาม กระจายใน 11 เมืองทั่วประเทศ ซึ่งด้วยความพิเศษที่บางเมืองเป็นเมืองที่พระอาทิตย์ไม่ยอมตก หรือแต่ละเมืองมีเขตเวลาไม่ตรงกัน ดังนั้น สีสันบอลโลก 2018 วันนี้ จึงอยากพาท่านผู้ชมไปดูกันครับ/ค่ะ ว่า แต่ละแต่เมือง แต่ละสนาม มีความสำคัญและความเป็นมาอย่างไรกันบ้าง


เริ่มกันที่เมืองที่จัดการแข่งขันนัดเปิดสนาม ที่รัสเชีย จะพบกับ ซาอุดีอารเบีย ในคืนวันพรุ่งนี้ นั่นคือ มอสโก (Moscow) เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย

โดยที่มอสโกมี 2 สนามที่ใช้จัดการแข่งขัน นั้นก็คือ ลุจนีกี สเตเดียม ที่เป็นสนามแข่งขันหลัก ใช้จัดการแข่งขันนัดเปิดสนาม และนัดชิงชนะเลิศ โดยสนามนี้ ความจุ 81,000 ที่นั่ง ซึ่งมากที่สุดในบรรดาสนามที่ใช้จัดการแข่งขันครั้งนี้




ส่วนอีกหนึ่งสนามในกรุงมอสโก นั่นก็คือ สปาร์ตัค สเตเดียม สนามเหย้าใหม่ของสโมสรฟุตบอลสปาร์ตัก มอสโก มีความจุอยู่ที่ 45,360 ที่นั่ง

ต่อด้วยเมืองโซชิ (Sochi) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย ติดกับทะเลดำ ทำให้ที่นี่ถือได้ว่าเป็นเมืองตากอากาศที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียอีกด้วย



สำหรับสนามที่ใช้จัดการแข่งขันประจำเมือง โซชิ ก็คือ ฟิชท์ สเตเดียม สนามที่ใช้จัดการแข่งขันโอลิมปิคฤดูหนาวปี 2014 มีความจุอยู่ที่ 47,700 ที่นั่ง

ต่อกันที่เมืองหลวงเก่าของจักรวรรดิรัสเซีย อย่างเมือง เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St. Petersburg) ที่ตั้งของสนาม เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สเตเดียม มีความจุอยู่ที่ 68,000 ที่นั่ง เป็นสร้างที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อรองรับการแข่งขันฟุตบอลโลกโดยเฉพาะ โดยสนามแห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา

ส่วนที่ คาซาน อารีนา มีความจุราวๆ 44,800 ที่นั่ง ตั้งอยู่ที่เมือง คาซาน (Kazan) เมืองแห่งการท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศรัสเซีย โดยเป็นเมืองที่ตั้งอยู่เหนือทั้งทวีปเอเชียและยุโรป



ตามด้วยเมืองศูนย์กลางการคมนาคมและอุตสาหกรรมของประเทศรัสเซีย อย่าง ซามารา (Samara) กันบ้าง โดยที่นี่เป็นที่ตั้งของสถาบันวิทยาศาสตร์ ที่มีส่วนช่วยในการบุกเบิกโครงการด้านอวกาศของประเทศรัสเซีย รวมไปถึงสนามซามารา อารีนา ที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ครั้งนี้ด้วย ซึ่งสนามซามาราแห่งนี้ มีความจุอยู่ที่ราว 44,800 ที่นั่งเท่านั้น

ขณะที่เมือง นิจนีนอฟโกรอด (Nizhny Novgorod) หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับที่เมืองนี้ เป็นที่ตั้งของสนาม นิจนีนอฟโกรอด สเตเดียม มีความจุอยู่ที่ 45,300 ที่นั่ง

ส่วนที่เมือง รอสตอฟ ออนดอน (Rostov-on-Don) เมืองทางตอนใต้ที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวอีกแห่งของรัสเซีย ซึ่งด้วยสภาพอากาศที่จะร้อนอบอ้าวตลอดช่วงการแข่งขัน อาจส่งผลกระทบต่อทีมฟุตบอลจากหลายประเทศ อย่างเช่น ไอซ์แลนด์ หรือ สวิตเซอร์แลนด์ ที่ต้องมาแข่งขันเมืองนี้ในรอบแบ่งกลุ่ม โดยสนามแข่งขันประจำเมืองนี้มีชื่อว่า รอสตอฟ อารีนา มีความจุอยู่ที่ 45,100 ที่นั่ง

ข้ามมาที่เมือง วอลโกกราด (Volgograd) ที่ตั้งของ อนุสาวรีย์มาเธอร์แลนด์ เซลส์ (The Motherland Calls)



รูปปั้นสำคัญที่แสดงถึงชัยชนะของสหภาพโซเวียตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสนามประจำเมืองนี้มีชื่อว่า วอลโกกราด มีความจุอยู่ที่ 45,500 ที่นั่ง

ส่วนที่เมือง เยคาเตรินเบิร์ก (Yekaterinburg) เมืองใหญ่อันดับ 4 ของรัสเซีย ที่เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทั้งพิพิธภัณฑ์ หรืออนุสาววรีย์ อยู่ทั่วทั้งเหมือง ส่วนสนามที่ใช้จัดการแข่งขันศึกฟุตบอลนั้น มีชื่อว่า เอคาเทอรินเบอร์ก อารีนา ความจุอยู่ที่ 35,700 ที่นั่งเท่านั้น

ต่อกันด้วย เมืองที่เล็กที่สุดของการแข่งขันครั้งนี้ อย่างเมืองซารันสค์ (Saransk) เป็นที่ตั้งของสนาม มอร์โดเวีย อารีนา ที่มีความจุอยู่ที่ 44,400 ที่นั่ง ซึ่งหากจะนั่งรถเดินทางจากที่นี่ไปยังกรุงมอสโก ต้องใช้เวลามากถึง 10 ชั่วโมงด้วยกัน

และสุดท้ายที่เมือง คาลินินกราด (Kaliningrad) เมืองแห่งประวัติศาสตรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนของเยอรมนี โดยตั้งอยู่ระหว่างประเทศโปแลนด์กับลิทัวเนีย ซึ่งสนามแข่งขันประจำเมืองนี้มีชื่อว่า คาลินินกราด สเตเดียม ความจุที่นั่งน้อยที่สุด อยู่ที่ 35,200 ที่นั่ง



คืนวันพรุ่งนี้ เกมนัดเปิดสนามระหว่างทีมชาติรัสเชียเจ้าภาพ กับ ซาอุดีอาระเบีย จะเปิดฉากขึ้นแล้ว ท่านผู้ชมสามารถติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหว รวมถึงการวิเคราะห์เจาะลึกก่อนเกมการแข่งขัน ได้ที่ สีสันบอลโลก ทางช่อง new 18