ประธานเครือข่ายทนายและประชาชนปกป้องพระพุทธศาสนา บุกร้องกองปราบดำเนินคดี ผอ.พศ. ตาม ม.157 กรณีออกหนังสือขอดูบัญชีวัด ชี้ พศ.เป็นเพียงหน่วยงานสนับสนุน ไม่ใช่ปกครองพระ
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. นายวรกร พงศ์ธนากุล ประธานเครือข่ายทนายและประชาชนปกป้องพระพุทธศาสนา พร้อมด้วยพระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา เมตตธัมโม พระวัดโพทะเล จ.พิจิตร และกลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่ง เดินทางมาแจ้งความต่อกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ความผิดตามมาตรา157ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีมีคำสั่งขอตรวจบัญชีวัด และแจ้งความให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องกับคดีเงินทอนวัดที่เหลืออยู่
นายวรกร กล่าวว่า ขณะนี้ ยังคงมีข้าราชการของ พศ. ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินทอนวัด แต่ยังไม่ถูกดำเนินคดี จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ให้ตำรวจ บก.ป. สืบสวนขยายผลและดำเนินคดีให้ครบทุกคนที่เกี่ยวข้อง พร้อมแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.พงศ์พร ความผิดตามมาตรา157 ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีมีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 8 มิ.ย.2561 ลงนามโดย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. เรื่อง ขอข้อมูลวัดที่มีการวางระบบเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินและบัญชีของวัด เรียน ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัด (พศจ.) ซึ่งเป็นการขอตรวจบัญชีวัด ทางทนายความและประชาชนจึงไม่เห็นด้วย เพราะถือว่า พศ.เป็นเพียงผู้สนับสนุนพระ ไม่ใช้ผู้ปกครองพระ และการกระทำแบบนี้ จึงเป็นการกระทำเกินหน้าที่ ส่วนการถือครองเงิน ที่ พศ.อ้างว่า ต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัยนั้น มองว่า ควรเป็นอำนาจของมหาเถรสมาคม (มส.)เป็นผู้ดำเนินการ
ด้านพระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา เมตตธัมโม กล่าวว่า พระมีความจำเป็นในการใช้เงินในการดำรงชีวิต เหมือนกับคนทั่วไป ทั้งเรื่องการเดินทาง การศึกษาเล่าเรียน และเพราะเป็นกฎกติกาของสังคมในปัจจุบัน ส่วนการถือครองเงินควรเป็นรูปแบบบัญชีของวัดหรือไม่นั้น มองว่า วัดแต่ละแห่งมีรูปแบบการจัดการระบบเงินแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละวัดจะนำมาใช้จ่ายแบบใด ทั้งนี้มีทรัพย์สินบางส่วนของพระที่ติดตัวมาก่อนบวช ในรูปแบบของมรดก จึงอยากให้แยกบัญชี เพราะพระบางรูป ช่วงเวลาการบวชแตกต่างกัน เมื่อสึกออกไป จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำเงินดังกล่าวออกไปใช้