“องอาจ”ชี้ 4 ปี คสช.ล้มเหลว 5 ด้าน

2018-05-20 10:30:17

“องอาจ”ชี้ 4 ปี คสช.ล้มเหลว 5 ด้าน

Advertisement

"องอาจ" เรียกร้อง คสช. ฟังคำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ มุ่งแก้ปัญหามากกว่าแก้ตัว ชี้ 4 ปีล้มเหลว 5 ด้าน ทั้ง “ปฏิรูป-ปรองดอง-ปราบทุจริต-แก้ ศก.-แก้ผลผลิตตกต่ำ”

เมื่อวันที่ 20 พ.ค.นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเสียงวิจารณ์ คสช. ในโอกาส 4 ปี คสช. ว่า ขอเรียกร้องให้ คสช. เปิดใจกว้างรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ นำข้อเสนอที่ดีมีประโยชน์ไปปรับปรุงแก้ไขให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม อยากเห็น คสช. มุ่งเดินหน้าแก้ปัญหามากกว่าแก้ตัวไปวันๆ ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ คสช. เข้ามามีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ประชาชนจำนวนไม่น้อยอยากเห็นการแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้างเพื่อวางรากฐานที่ดีให้ประเทศชาติ แต่เราเห็นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างน้อยมาก ทำให้เสียโอกาสไปพอสมควร

นายองอาจ กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปี คสช. ก็มีการทำงานที่พอจะสัมผัสได้ดังนี้ 1.ความตั้งใจและความพยายามในการแก้ไขปัญหาต่างๆ 2.ยุติการเผชิญหน้าของกลุ่มต่างๆ ช่วยลดความขัดแย้ง ก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมือง 3.ยุติรัฐบาลที่ฉ้อฉลอำนาจ ใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง มีการประพฤติมิชอบ ทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง




นายองอาจ กล่าวต่อว่า ส่วนการทำงานที่ยังไม่สัมผัสได้ คือ 1.เรื่องการปฏิรูป คสช. ต้องยอมรับความจริงว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมา คสช.ได้ตั้งสภา คณะกรรมการ คณะทำงานมากมายหลายชุด แต่ไม่สามารถจุดประกายให้ประชาชนสัมผัสได้ โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ 2.การปรองดอง เป็นอีกหนึ่งคำสัญญาที่ประชาชนไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปธรรมจนสัมผัสได้อย่างชัดเจน อาจเห็นเพียงพิธีกรรมผ่านกลไกภาครัฐบางส่วนเท่านั้น 3.การป้องกันและปราบปรามการทุจริต จะเห็น คสช. ฟิตในช่วงแรกๆ แต่พอมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับคนที่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ ก็เกิดกรณีการเลือกปฏิบัติ ทำให้ประชาชนยังไม่สัมผัสได้อย่างชัดเจน 4.การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง 5.การแก้ไขปัญหาพืชผลการเกษตรตกต่ำ

“ขณะนี้ คสช. ยังมีเวลาที่เหลืออยู่อีกเกือบ 1 ปีที่จะทำงานแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงจนประชาชนสามารถสัมผัสได้ จึงอยากให้ คสช. ทุ่มเทความรู้ความสามารถแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเพื่อประโยชน์สุขของสังคมส่วนรวมต่อไปในเวลาหนึ่งปีนับจากนี้”นายองอาจ กล่าว