“นาซา”ยันพบ “น้ำพุ”บนผิวดวงจันทร์ยูโรปา

2018-05-15 17:50:01

“นาซา”ยันพบ “น้ำพุ”บนผิวดวงจันทร์ยูโรปา

Advertisement

“นาซา”ยืนยันพบน้ำพุพ่นออกมาจากพื้นผิวของดวงจันทร์ยูโรปาโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่วิเคราะห์ข้อมูลจากยานกาลิเลโอที่บันทึกไว้เมื่อ 21 ปีที่แล้ว “ดร.ศรัณย์” ชี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าโลกไม่ใช่ดาวเคราะห์แห่งเดียวที่มีของเหลวและมีองค์ประกอบทางเคมีที่เอื้อต่อสิ่งมีชีวิต

เมื่อวันที่ 15 พ.ค. องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ “นาซา” แถลงข่าวยืนยันการพบน้ำพุพ่นออกมาจากพื้นผิวของดวงจันทร์ยูโรปาโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่วิเคราะห์ข้อมูลจากยานกาลิเลโอที่บันทึกไว้เมื่อ 21 ปีก่อน และภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลประกอบกัน คาดอาจส่งผลให้การสำรวจเก็บตัวอย่างน้ำและอนุภาคต่าง ๆ บนดวงจันทร์ยูโรปาเป็นไปได้ง่ายขึ้น เตรียมส่งยานสำรวจประมาณปี 2563 เป็นต้นไป

ทั้งนี้เมื่อปี 2555 กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลได้บันทึกภาพดวงจันทร์ยูโรปาที่กำลังพ่นบางสิ่งออกไปในอวกาศเป็นระยะทางถึง 200 กิโลเมตร นักวิจัยส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นน้ำจากใต้ผิวน้ำแข็งที่ถูกพ่นออกมา แต่ด้วยขีดจำกัดทางเครื่องมือทำให้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าบางสิ่งบางอย่างที่กำลังพวยพุ่งออกมาจากพื้นผิวของมันคืออะไร





การวิจัยในครั้งนี้นำทีมโดย ดร.เซียนจือ เจีย นักฟิสิกส์อวกาศ จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่ามีน้ำพุพุ่งออกมาจากผิวของดวงจันทร์ยูโรปาจริง โดยใช้ข้อมูลจากยานกาลิเลโอที่บันทึกไว้เมื่อ 21 ปีที่แล้ว

ภารกิจของยานกาลิเลโอ เป็นภารกิจสำรวจดาวพฤหัสบดีและดวงจันทร์บริวารระหว่างปี 2538 ถึง 2546 ซึ่งดร.เซียนจือ เจีย พบว่าในปี 2540 ยานกาลิเลโอได้บินเข้าใกล้ดวงจันทร์ยูโรปาที่ระยะห่างเพียง 200 กิโลเมตร ข้อมูลที่ยานกาลิเลโอบันทึกไว้เป็นค่าสนามแม่เหล็กของดวงจันทร์ยูโรปา พบตำแหน่งที่มีการแปรปรวนของข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการแปรปรวนของข้อมูลในลักษณะนี้ เป็นแบบเดียวกันกับที่พบในการสำรวจน้ำพุของดวงจันทร์เอนซาลาดัสของดาวเสาร์จึงนำข้อมูลนี้มาวิเคราะห์ใหม่อีกครั้งด้วยเทคโนโลยีและวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่ทันสมัย ประกอบกับภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล เมื่อปี 2555 ทำให้ได้ผลสรุปที่ชัดเจนว่าพื้นผิวของดวงจันทร์ยูโรปามีน้ำพุพ่นออกมา



การค้นพบครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากน้ำจากภายในชั้นมหาสมุทรใต้ผิวน้ำแข็งหนาทึบสามารถพุ่งออกมาภายนอกได้ การจะสำรวจและเก็บตัวอย่างของน้ำก็จะเป็นเรื่องที่ทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องเจาะลงไปถึงชั้นมหาสมุทร อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นว่ายังมีข้อมูลอีกมากมายที่รอการตรวจสอบและค้นพบ หากนำเทคโนโลยีและวิธีการที่ทันสมัยมาใช้ในการวิเคราะห์ก็อาจจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปจากในอดีตได้



นาซาจะเริ่มภารกิจสำรวจดวงจันทร์ยูโรปาอีกครั้งภายใต้ชื่อภารกิจว่า ยูโรปาคลิปเปอร์ (Europa Clipper) ประมาณปี 2563 เป็นต้นไป วางแผนให้ยานอวกาศเข้าใกล้ดวงจันทร์ยูโรปาถึง 40 ครั้ง มีระยะห่างตั้งแต่ 100 กิโลเมตรจนถึง 15 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นการบินเฉียดที่ใกล้ที่สุดและจงใจให้บินผ่านตำแหน่งที่มีการพ่นน้ำออกมา เพื่อเก็บตัวอย่างของน้ำและอนุภาคต่าง ๆ นำมาวิเคราะห์ต่อไป

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า การค้นพบน้ำพุบนดวงจันทร์ยูโรปาครั้งนี้ เป็นอีกหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าโลกไม่ใช่ดาวเคราะห์แห่งเดียวที่มีของเหลวและมีองค์ประกอบทางเคมีที่เอื้อต่อสิ่งมีชีวิต เช่นเดียวกับการค้นพบร่องรอยของแหล่งน้ำบนดาวอังคารและมหาสมุทรบนดวงจันทร์เอนเซลาดัส ดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์ ที่เคยค้นพบมาก่อนหน้านี้ ข้อมูลดังกล่าวจะสามารถนำมาวิเคราะห์และวางแผนการสำรวจเกี่ยวกับตำแหน่งของน้ำพุและการโคจรรอบดวงจันทร์ยูโรปา นำไปสู่การวางแผนพัฒนาภารกิจยูโรปาคลิปเปอร์หลังปี 2563 เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีต่อยอดไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อศึกษาหาคำตอบเกี่ยวกับการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลก



สำหรับ “ดวงจันทร์ยูโรปา” เป็นดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดี มีขนาดเล็กกว่าดวงจันทร์ของโลกเล็กน้อย พื้นผิวเป็นน้ำแข็งที่มีความเรียบมาก ความเรียบในระดับนี้บ่งชี้ว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงเชิงธรณีวิทยาทำให้ร่องรอยอุกกาบาตต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเลือนหายไป (ในขณะที่ดวงจันทร์ของโลกเราไม่มีความเปลี่ยนแปลงเชิงธรณีวิทยาใด ๆ ทำให้รอยอุกกาบาตที่เกิดขึ้นไม่เลือนหายไป) นอกจากนี้หลักฐานจำนวนมาก เช่น ลักษณะของเปลือกที่เป็นน้ำแข็ง น้ำพุที่พุ่งออกมาจากผิวที่ความสูงกว่า 200 กิโลเมตรจากพื้นผิว ทำให้นักดาราศาสตร์มั่นใจว่าภายใต้เปลือกน้ำแข็งประมาณ 170 กิโลเมตร มีชั้นของมหาสมุทรอยู่ ดวงจันทร์ยูโรปาถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2153 โดยสุดยอดนักดาราศาสตร์โลกชาวอิตาลี กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei)